วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิวัฒนาการของ Microsoft Windows ในยุคต่างๆ

ปี 1983 Bill Gate ได้ออกจาก Harvard ขณะที่ยังเรียนอยู่ ปี 2 เพื่อมาบริหารบริษัท Micro Computer and software หรือเป็นที่รู้จักกันภายหลัง คือ Microsoft นั่นเอง
ปี 1983 Bill Gate ได้ออกจาก Harvard ขณะที่ยังเรียนอยู่ ปี 2 เพื่อมาบริหารบริษัท Micro Computer and software หรือเป็นที่รู้จักกันภายหลัง คือ Microsoft นั่นเอง ปีนั้นเอง MS-DOS ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลา ย และเป็นจุดกำเนิดให้เกิดการพัฒนาต่อมาจนเป็น Windows ในปี 1985 แต่ก็ยังคงอาศัย DOS เป็นหลักอยู่เช่นเดิม แต่เพื่อความเข้าใจคงจะต้องเริ่มจากก้าวแรกในปีนี้กันเลยครับ



ปี 1985 – Microsoft Windows 1.0
ใน ปี 1985 นี้ Microsoft ได้เริ่มต้นกับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบ Windows ที่พัฒนาต่อมาก MS-DOS แต่ถือเป็นเพียงเปลือกของ DOS เท่านั้น ซึ่งคุณสมบัติส่วนใหญ่ มุ่งไปที่ตารางนัดหมาย สมุดบันทึก และทำงานผ่านระบบ GUI [Graphic User Interface] เป็นครั้งแรก



ปี 1987 – Microsoft Windows 2.0
2 ปีหลังจาก Windows 1.0 ก็ได้เวลาปล่อย version 2 ออกสู่ตลาด แต่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายจากเดิม ส่วนมากจะเป็นการเพิ่มสีสันให้กับระบบ GUI ให้สวยงามมากขึ้น และความสามารถในการพิมพ์ได้ตรงกับที่เห็นบนหน้าจอ



ปี 1990 – Microsoft Windows 3.0
ใน ปีนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Windows ที่เข้ามามีบทบาทต่อเครื่อง Mc ของ Apple ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในตอนนั้นในแง่ของ Computer ที่สามารถแสดงผลทางด้านกราฟิก โดย Microsoft เริ่มมีการใช้ระบบ VxD [Virtual Device Driver] ซึ่งเป็น driver ของ Windows ซึ่งช่วยในการติดต่อเสื่อสารกับอุปกรณ์ต่างๆได้ง่าย
ขึ้น โดยอาศัยระบบการบริหารหน่วยความจำเข้ามาช่วย หรือเป็นที่รู้จักกันดีในตอนนี้คือ kernel นั่นเอง
ด้วยความสามารถของ VxD ก็เริ่มทำให้ระบบ Virtual Memory ของ Windows ดีขึ้นมากเมื่อทำงานแบบ Multi Tasking และด้วยเหตุนี้ทำให้ Windows 3.0 ทำยอดได้ถึง 10 ล้านชุดในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น


1992 – Microsoft Windows 3.1
2 ปีกับความสำเร็จของ Windows 3.0 ที่ทำยอดขายได้แบบไม่คาดฝัน Microsoft ก็ได้ปล่อย Windows 3.1 ออกมาเพื่อแก้บั๊กที่มีอยู่ใน Windows 3.0 โดยหลักๆจะทำให้นักพัฒนา software สามารถสร้าง software ที่นำมาใช้กับ Windows ได้อย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น และสามารถนำ font แบบ True Type Font มาได้กับ Windows ด้วย
จาก Windows 3.0-3.1 ทำให้ Microsoft เขย่าตลาด PC ได้เป็นอย่างมาก โดยตอนนั้น IBM ซึ่งนำทีมโดย OS/2 ครองตลาดอยู่


ปี 1993 – Microsoft Windows 3.11 (Windows for Workgroups)
ห่าง มาแค่ปีเดียว ในปี 1993 Microsoft ได้ปล่อย Windows 3.11 ออกสู่ตลาดซึ่งเป็นที่รู้จักกันในตอนนั้นคือ Windows for Workgroups ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจาก Windows 3.1 โดยเสริมคุณสมบัติระบบ network และการสร้าง Protocol TCP/IP ที่ช่วยทำให้เครื่อง PC ในระบบเน็ทเวิร์ก และ PC แบบ Home user สามารถติดต่อผ่านเครือข่าย Internet นับเป็นการเปิดโลกใหม่ให้กับ PC ในแบบที่ไม่มี Windows ตัวไหนทำได้มาก่อน



1993 – Microsoft Windows NT 3.1
เดือน กรกฎาคมในปีเดียวกันนี้เอง Windows NT 3.1 ก็ได้ออกสู่ท้องตลาดในฐานะระบบปฏิบัติการที่มีสถาปัต ยกรรมโครงสร้างแบบ 32 bit นัยว่าจะมาแทนที่ Windows 3.1 ที่มีโครงสร้างแบบ 16 bit โดยจุประสงค์แรกที่ออก NT นั้นก็เพื่อรองรับการทำงานในลักษณะที่เป็น LAN Server ที่สามารถทำงานร่วมกับ Novell’s Netware ในตลาดเครื่อง server ในขณะนั้นที่กำลังแข่งกับ Unix สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มบริษัทหรือองค์กรต่างๆ ที่ต้องการเครื่อง server ที่มีกำลังสูง และสถาปัตยกรรม NT นี้เองที่ทำให้เราได้มี Windows 2000, XP, 2003 VISTA และ 7seven


1995 – Microsoft Windows 95
ปี นี้ถือเป็นก้าวเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้งของ Microsoft และ Windows เพราะมันทำให้ Microsoft กลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไปอย่างไร้ เทียมทานเลยก็ว่าได้ โดย Windows 95 ที่ออกแบบมานั้นหน้าจอเป็น interface ที่ถูกปรับโฉมใหม่หมด [ในขณะนั้น] ไม่มีความเป็นหน้าจอ DOS หลงเหลืออยู่เลย [ถ้านึกภาพ Windows 1.0-3.11 ไม่ออกก็นึกถึงเครื่อง palm นะครับ] และหน้าจอก็ได้เริ่มมีการวาง icon บน desktop ให้ผู้ใช้สามารถคลิ้กเพื่อเปิดการทำงานของโปรแกรมนั้นๆได้เลยรวมถึงได้มี การนำเอา Taskbar และ Start Menu เข้ามาใช้เพื่อรองรับกับการทำงานแบบ Multi tasking

ที่สำคัญ Windows 95 ยังได้มีการแนะนำ feature ใหม่ที่เรียกกันว่า Plug and Play [เสียบแล้วใช้] มาใช้เพื่อสนับสนุน hardware ที่เป็นส่วนประกอบอยู่ในเครื่อง computer รวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับนักเล่นเกมอย่างเป็นจริงเ ป็นจัง จากเดิมที่การเล่นเกมที่มีอุปกรณ์ต่อพ่วงนี้จะอยู่ใน เครื่องเล่นเกมของ Nintendo กับ Sega เท่านั้น และจุดนี้เองที่ทำให้เกมบน DOS หายไป และด้วย Direct X ทำให้มีการพัฒนาเกมตามมาอีกมากมาย ขณะที่ Protocol TCP/IP ก็ยังเป็นอีกหัวในสำคัญที่ทำให้การเปิดโลก internet ของกลุ่มผู้ใช้ PC เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นและมีเว็บไซต์ต่างๆเกิดขึ้นต ามมา เพื่อรองรับการใช้จากทั่วทุกมุมโลก


ปี 199x – Microsoft Windows NT 4.0
หลัง จากออก NT 3.1 ทีมพัฒนา software ของ Microsoft ก็ได้ปล่อย Windows NT 4.0 ที่เน้นตลาดเน็ตเวิร์กมากขึ้น โดยจะมี interface คล้ายกับ Windows 95 แต่ว่าระบบมีความเสถียรมากกว่า โดยการเพิ่ม API [Application Programming Interface] เข้ามาทำให้ software/Hardware ต่างๆติดต่อกับ Windows ได้อย่างเป็นมาตรฐานเดียวกัน
Windows NT 4.0 ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับบรรดากลุ่มองค์กร ที่ต้องการเครื่อง server ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่

1997 – Microsoft Windows 98
Windows 98 ถือเป็นระบบปฏิบัติการที่มีผู้ใช้ยอมรับทั่วโลก โดยได้รับการพัฒนาในเรื่องพอร์ต USB ถือเป็นการเริ่มใช้งานครั้งแรกบน Windows 98 ในปี 1997 รวมถึงระบบ Fat32 ที่ทำให้ Windows สนับสนุน Hard Disk ที่มีขนาดมากกว่า 2 GB ได้ นอกจากนั้นยังได้มีการรวมเอา hyper link ของ Internet Explorer มารวมกับ Windows Explorer กลายเป็น Interface ร่วมกันของทั้งสองระบบ
ตรงนี้เองที่ทำให้ Microsoft โดนศาลยุติธรรมของอเมริกาโดยอ้างว่าการกระทำดังกล่าว ไม่ยุติธรรมต่อบริษัท คู่แข่งอื่นๆ อย่าง Netscape ซึ่งตอนนั้นถือเป็นเจ้าตลาด browser อยู่

ปี 1999 – Windows 98 SE
เนื่อง จาก Windows 98 ยังมีบั๊กอยู่เยอะ 2 ปีให้หลัง Microsoft ก็ได้ออก Windows 98 SE [Second Edition] ตามมาเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าว และเป็นการมารพร้อมกับ feature ใหม่ที่เรียกว่า ICS หรือ Internet Connection Sharing ซึ่งทำให้เครื่อง PC หลายๆเครื่องสามารถ share internet ร่วมกันได้โดยใช้เพียง Account เดียวเท่านั้น



ปี 2000 – Microsoft Windows 2000
Windows 2000 หรือ Windows NT 5.0 แทบจะเรียกได้ว่าเป็น Windows ที่ดีที่สุดของระบบปฏิบัติการ Windows เลยที่เดียวก็ว่าได้ Windows 2000 ถูกใช้อย่างแพร่หลายในฐานะเครื่อง workstation และ Server จนถึงปัจจุบัน จุดเด่นของ Windows 2000 คือ มีความเสถียรสูงมาก การเขียนโปรแกรมเพื่อรองรับ application ต่างๆก็ทำได้ค่อนข้างง่าย Windows 2000 จึงเป็นที่ชื่นชอบของ Web developers ที่ต้องการสร้างโปรแกรมเชื่อมต่อด้านเครือข่ายกับระบ บปฏิบัติการเป็นแกน หลักของครือข่าย โดยใน Windows 2000 นี้ยังได้มีการแยกรุ่นออกเป็น 3 รุ่นด้วยกันเพื่อให้ตรงกับความต้องการ
Windows 2000 Professional – เหมาะกับธุรกิจทั่วไป รวมถึง PC ธรรมดาที่ต้องการประสิทธิภาพสูง
Windows 2000 Server – เหมาะกับบริษัทขนาดเล็ก-กลาง
Windows 2000 Advanced Server – เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการเข้าออกของข้อมูลเป็น จำนวนมาก


ปี 2000 – Microsoft Windows ME
Windows ME ถูกส่งมาทำตลาดในระดับ User ทั่วไป โดยคำว่า ME ย่อมาจากคำว่า Millennium Edition ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี 2000 พอดี หลังออกมาได้ไม่นานสิ่งที่ตามมาคือ บั๊กขนาดใหญ่ที่ทำเอาระบบล่มบ่อยๆ สิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน Windows ME คือ ระบบ System restore ซึ่งทำให้สามารถย้อนเวลากลับไปก่อนหน้าที่ต้องการได้ หรืออีกประการหนึ่ง Microsoft อาจจะพอเดาออกว่า Windows ตัวนี้เข้ากันไม่ค่อยได้กับ hardware จึงทำ System Restore ใส่เข้าไปด้วย ซึ่งฟังดูตลกแต่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นอกนั้นยังมี Windows Media Player แบบเต็มรูปแบบครั้งแรก อีกอย่างที่เพิ่มเข้ามาใน Windows ME คือ Windows ตัวนี้ได้ตัด DOS ออกไปเป็นที่เรียบร้อย การทำงานนั้นเป็นแบบ 32 bit โดยสิ้นเชิง ซึ่งต่างกับตัวที่แล้วๆมาเมื่อมีปัญหาคุณก็จะเจอ DOS แทน และอาจจะเป็นเหตุผลอีกข้อที่ทำให้ Windows ME ไม่ค่อยเสถียรเอามากๆ ยังกับว่านถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรอ Windows XP ในขณะที่กำลังพัฒนาอยู่


ปี 2001 – Microsoft Windows XP
นับ จากปี 1995 ปี 2001 นี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งของ Microsoft และ Windows เมื่อการมาถึงของ Windows XP [XP = eXPerience] หรือ Windows NT 5.1 ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่าง Windows 2000/NT และ Windows 9x [95, 98, ME] ด้วย Interface ที่ออกแบบใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้าที่ต้องบอกว่าในตอนนั ้นสวยงามเอามากๆ ความเสถียรที่อิงจาก Windows 2000 การทำ Multiple user account การสนับสนุน Hardware อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ Windows XP เป็นที่รู้จักกันอย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาที่มากับ Windows XP นั้นกลับเป็นเรื่องระบบความปลอดภัยทำให้ Microsoft ต้องออก Service Pack1 มาภายในเวลาอันรวดเร็ว และ Service Pack2 ตามมาอีก และในปีหน้ากลางปีก็จะถึงเวลาของ Service Pack3 กันแล้วครับ

Windows XP แบ่งเป็น 2 รุ่นคือ
Windows XP Home Edition- เหมาะกับกับการใช้งานตามบ้านและ PC ทั่วๆไป
Windows XP Professional – เหมาะกับธุรกิจทั่วไป รวมถึง PC ธรรมดาที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่นเดียวกับ Windows 2000 Professional
นอกจาก 2 รุ่นที่ว่ามาแล้วยังมีอีก 2 รุ่นที่ออกตามมาให้หลัง คือ
Windows XP Home Edition N และ Windows XP Professional N ซึ่งเป็นผลมาจากการฟ้องร้องว่า Microsoft ทำธุรกิจผูกขาด [อีกครั้ง] ซึ่งมีผลทำให้ Microsoft ต้องออก N Edition เพื่อจำหน่ายเฉพาะในยุโรป สิ่งที่ต่างออกไปคือ จะไม่มี Windows Media Player และ Internet Explorer ติดมากับ Windows นั่นเอง


ปี 2003 – Microsoft Windows Server 2003
Windows 2003 Server หรือ Windows NT 5.2 นั้นถูกสร้างขึ้นจาก Windows 2000+Windows XPโดยมุ่งหวังที่จะเข้าแทนที่ Windows 2000 นอกจากหน้าตาเหมือน Windows XP แล้วยังได้มีการเสริมในเรื่องของระบบรักษาความปลอดภั ยให้สูงขึ้นเพราะถูก สร้างขึ้นมาให้ใช้กับองค์กรโดยเฉพาะ การจัดการที่ทำได้ง่ายโดยผ่าน Browser IE และยังเพิ่มความเสถียรในเรื่องของการเข้ากันได้กับ Application Code ต่างๆได้อย่างหลากหลายมากขึ้น
โดย Windows Server 2003 นี้มีมากถึง 5 รุ่นได้กัน คือ
Windows Server 2003 Standard – เหมาะสำหรับทำ server ขนาดในบริษัทขนาดเล็ก
Microsoft Windows Small Business Server 2003 – เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง
Microsoft Windows Server 2003, Datacenter Edition – เหมาะสำหรับองค์กรที่มีข้อมูลมากมายที่ต้องจัดการ
Microsoft Windows Server 2003, Enterprise Edition – เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่
Microsoft Windows Server 2003, Web Edition – เหมาะสำหรับทำ Web server


ปี 2003 – Microsoft Windows XP Media Center Edition 2002 (WinMCE2002)
ปี 2003 นอกจากเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งของ Microsoft ในปีนี้เอง Microsoft ก็ได้นำเอา Microsoft Windows XP Media Center Edition ออกจำหน่ายเพื่อรองรับกับกลุ่มลูกค้า PC ตามบ้านที่ต้องการชุด โฮมเธียเตอร์ โดยหลักโปรแกรมนี้ก็คือ Windows XP Pro ที่มีการเพิ่มลูกเล่นในส่วนของ Media Center เข้าไปนั่นเอง ทำให้สามารถควบคุมผ่านรีโมทได้เหมือนกับโฮมธีเตอร์ทั ่วๆไป และ Media Center ที่เพิ่มมายังสามารถทำงานกับอุปกรณ์มีเดียทั้งหลายที ่เชื่อมต่ออยู่กับ PC และการจัดการกับสื่อ Media ต่างๆได้ โดยใช้เพียงรีโมทเท่านั้น


ปี 2005 – Windows XP Media Center Edition 2005
หลัง จากนำร่องด้วย MCE2002 ปีนี้ Microsoft ได้ออก MCE2005 ซึ่งมีการเพิ่มคุฯสมบัติใหม่ๆเข้ามาเช่นการรองรับ HDTV [High Definition TV] หรือ TV ความละเอียดสูง ที่แพร่ภาพในระบบ Digital [DTV] นอกจากนั้นยังมี interface ที่สนับสนุน Media Center Extenders ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ download/upload ไฟล์หรือดูเนื้อหาต่างๆของไฟล์แบบสตรีมได้อย่างง่ายดาย


ปี 2005 – Microsoft Windows XP Professional x64 Edition
เมษายน 2005 Microsoft ได้นำเสนอ Microsoft Windows XP Professional x64 Editionออกสู่ตลาด Windows ตัวนี้นับเป็นตัวแรกที่มีโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบ 64 bit และยังคงทำงานได้กับ โปรแกรม 32 bit ได้เช่นเดิม โดยฟังก์ชั่นนี้เรียกว่า WoW หรือ Windows 32 on Windows 64 ซึ่ง Windows นี้ถูกออกแบบเพื่อนำมาใช้กับงานกราฟิก 3D งานออกแบบ เครื่องบิน Animation หรืองานที่ต้องการความถูกต้องสูงสุด

ปี 2007 – Microsoft Windows Vista
Windows Vista หรือชื่อในการพัฒนาว่า Windows longhorn นั้นถือเป็นการเปลี่ยนแปลงของ Windows ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง นอกจาก core จะเป็น Windows NT 6.0 แล้ว สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการแสดงผลแบบ 3D ของ Window นั่นเอง ซึ่งถือเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่ง นอกจาก Interface ที่เปลี่ยนครั้งใหญ่แล้ว สิ่งที่ Microsoft มุ่งเน้นมากคือความปลอดภัย โดยการประกาศท้าทายเหล่า Hacker ให้เจอะระบบของ Windows vista กันเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีการจ้าง Hacker มาตรวจสอบ source code ทั้งหมดของ Windows vista เพื่อหาช่องโหว่ที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ว่าด้วยวิธีการใด ๆ นอกจากนั้น Windows Vista ยังมากับไฟล์รับบรูปแบบใหม่ คือ WinFS (Windows Future storage) ที่จะเข้ามาแทน NTFS
โดย Windows Vista นี้จะมีทั้งแบบ 32 bit และ 64 bit และมีมากถึง 5 รุ่นด้วย
Windows Vista Home Basic – เหมาะสำหรับ พ่อแม่ที่ซื้อ Computer เครื่องแรกให้เด็กเล่นไปจนถึงคนทั่วไปที่ไม่เคยใช้ Windows มาก่อน
Windows Vista Home Premium – เหมาะกับเครื่องที่เน้นทำเป็น Media Center ที่บ้าน
Windows Vista Business – เหมาะกับกลุ่ม power user ทั่วๆไป หรือเปรียบได้กับ Windows XP Pro นั่นเอง
Windows Vista Enterprise – เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่
Windows Vista Ultimate – เหมาะกับคนที่ต้องการทุกๆอย่างจากทุกๆตัวที่กล่าวมาค รับ


ปี 2007 – Microsoft Windows Longhorn Server
หรือ อีกชื่อคือ Windows Server 2007 นั่นเอง ซึ่งจะมีรากฐานมาจาก Windows Vista ซึ่งจะเพิ่มคุณสมบัติใหม่เข้าไปเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าระดับองค์กรขนาดใหญ่ และเป็นระบบปฏิบัติการแบบ 64bit


ปี 2009 Microsoft Windows 7
หลังจากที่ Windows 7 ได้ทำการวางจำหน่ายครั้งแรกในประเทศไทยตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2552 ทำให้ Windows 7 ได้รับการกล่าวขวัญกันในวงกว้างในเรื่องของความง่าย รวดเร็ว สะดวกในการใช้งานมากขึ้น พร้อมกับทำการออกมาหลากหลายรุ่นเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้ใช้งานแต่ ละคนมากที่สุด Windows 7 พัฒนาต่อยอดมาจาก Windows Vista ทำให้ในส่วนของแกนหลักของระบบปฏิบัติการแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายนัก (จนหลายๆ คนวิจารณ์ว่าไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งแปลกใหม่) ไม่ว่าจะเป็น ระบบเอฟเฟ็กต์ Aero ไดรเวอร์ต่างๆ รวมไปถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่เรียกว่า Use Account Control ที่ปรับปรุงให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น ช่วยให้สามารถใช้งานโปรแกรมต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยโดยสามารถกำหนดระดับการ เตือนได้ โดยไม่มีการเตือนที่น่ารำคาญเหมือนกับ Windows Vista
ด้านประสิทธิภาพในการทำงาน Windows 7 ใช้ทรัพยากรที่น้อยกว่า Windows Vista โดยหน่วยความจำขั้นต่ำ ใช้เพียง 1 กิกะไบต์ ในขณะที่ Windows Vista ใช้อย่างน้อย 2 กิกะไบต์ (แต่แนะนำให้ใช้จริงๆ 4 กิกะไบต์) โดยสังเกตได้ว่า Windows 7 จะใช้ทรัพยากรระบบน้อยลง และมีประสิทธิภาพในการทำงานเร็วกว่าทั้ง Windows Vista และ XP ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์

และปัจจุบัน Microsoft Windows Server 2008