วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

แอร์พอร์ตลิงค์ ลูกนอกไส้ของการรถไฟ ฯ



หลังจากเปิดให้บริการมาได้ 7 เดือน รถไฟแอร์พอร์ต ลิงค์ ก็ออกอาการที่สะท้อนถึงปัญหา การบริหารจัดการ เมื่อต้องหยุดเดินรถไฟฟ้าด่ว นหรือ เอ๊กซเพรสไลน์ ที่วิ่งระหว่าง สถานีมักกะสันไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะต้องถอด "แปรงถ่าน" ซึ่งเป็นตัวรับกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ตัวรถไฟฟ้า ออกไปใส่ให้กับรถไฟฟ้าสายธรรมดา หรือ ซิตี้ไลน์ ซึ่งวิ่งระหว่างสถานีพญาไท ถึงสุวรรณถูมิ เพราะ แปรงถ่านของรถสายซิตีไลน์ หมดอายุการใช้งาน และแอร์พร์ตลิงค์ ไม่มี "แปรงถ่าน" ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง สำรองไว้เลย ต้องสั่งเข้ามาจากประเทศอังกฤษ
      
       เรื่องนี้ถ้าเกิดขึ้นกับรถไฟปู๊นๆ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประชาชนคงทำใจได้ เพราะชาชินกับความล้าสมัย และไร้ประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจแห่งนี้มานานแล้ว แต่เป็นเรื่องที่หัวร่อไม่ได้ ร่ำไห้ไม่ออก เมื่อปัญหา ชิ้นส่วนชำรุด แล้วไม่มีอะไหล่เปลี่ยนครั้งนี้ เกิดขึ้นกับ ระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ ที่เพิ่งเปิดบริการได้ไม่ถึงปี ทั้งๆที่เป็นเรื่องพื้นๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า ชิ้นส่วนต่างๆ เมื่อใช้ไปแล้วต้องสึกหรอ จึงต้องมีอะไหล่สำรองไว้ เพราะแอร์พอร์ตลิงค์ เป็นบริการขนสง่มวลชน ที่ต้องให้บริการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่รถไฟธรรมดาที่ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง หรือ รถเมล์ ขสมก. ที่รถเสียตรงไหน ก็ไล่ผู้โดยสารลงตรงนั้นได้
      
       ตลอดระยะเวลา 7 เดือนของการให้บริการแอร์พอร์ต ลิงค์ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยเงินภาษีของมูลค่า 26,000 ล้านบาท โครงการนี้ แม้จะช่วยอำนวยความสะดวกเป็นอย่างมาก ในการเดินทางให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพ ในการเดินทางเข้ามาใจกลางเมือง ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของโครงการที่ต้องการขนถ่ายผู้โดยสารไปยังสนามบินสุวรรณภูมิเป็นหลัก แต่ผู้ใช้บริการก็ตำหนิติเตียนคุณภาพของการให้บริการมาโดยตลอด
      
       คำว่า "ห่วยแตก- ยอดแย่ - เฮงซวย" คือ ข้อสรุปของผู้ใช้บริการ ที่มีต่อแอร์พอรต์ลิงค์ บริการขนส่งมวลชนระบบราง ในกรุเทพ เกิดขึ้นมา 10 ปี แล้ว โดยรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟใต้ดิน ประชาชนจึงมีประสบการณ์ และสามารถเปรียบเทียบบริการของแอร์พอร์ต ลิงค์ว่า ได้มาตรฐานที่ควรจะเป็นหรือไม่
      
       การให้บริการของแอร์พอร์ตลิงค์ มีปัญหาตั้งแต่ตัวตู้รถไฟ ที่มีขนาดเล็กกว่ารถฟ้าบีทีเอส และรถใต้ดิน ช่องห่างระหว่างตู้กับชานชาลา เมื่อรถเทียบ สถานี กว้างพอที่เท้าของผู้ใช้บริการที่ไม่ระมัดระวัง จะหลุดลงไปอยุ่ในช่องนั้นได้
      
       ที่สำคัญ และอาจจะเป็นเอกลักษ์ณของระบบขนส่งมวลชนเพียงแห่งเดียวในโลกนี้ คือ เสียงปิดประตู ที่ดังมากๆ จนผู้ที่เพิ่งใช้บริการเป็นครั้งแรกต้องสะดุ้งตกใจ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงปิดประตุดังปังนี้ อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า คณะกรรมการตรวจรับตู้โดยสารนี้ คงเอามืออุดหูทั้งสองข้าง เวลาตรวจรับ
      
       โครงการแอร์พอร์ต ลิงค์ เกิดขึ้นเพื่อขนถ่ายผู้โดยสารที่ต้องใช้บริการสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ทุกสถานี โดยเฉพาะสถานีปลายทางที่พญาไท สำหรัยบรถขบวนซิตี้ไลน์ และสถานีมักกะสัน สำหรับรถสายด่วน ไม่มีบันไดเลื่อน ผู้โดยสารทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่เดินทางมาจาก หรือจะไปสนามบิน ต้องแบกกระเป๋าขึ้นบันไดกันอย่างทุลักทุเล
      
       ที่สถานีปลายทาง มีแต่ป้าย "ทางออก" แต่ไม่มีรายละเอียดว่าออกไปไหน ทีสถานีมักกะสัน ซึ่งต้องรองรับผู้โดยสารจากสนามบิน ที่ต้องเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางอื่น ไม่มีช่องทางที่เข้าถึงบริการรถสาธารณะได้โดยสะดวกเลย ปล่อยให้ผู้ดดยสารเดินลากกระเป๋าไปหารถแท๊กซีทเป็นระยะยทาวไกลๆ
      
       เบื้องหลังของความห่วยแตกเหล่านี้คือ ไม่มีการวางแผน ออกแบบ เตรียมการเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบการบริหารจัดการไว้เลย เพราะโครงการนี้ซึ่งเกิดขึ้น เมื่อกลางปี 2547 สมัยรัฐบาลทักษิณ มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรมว.คมนาคม มีการเร่งรัดประกวดราคาโครงการ ทั้งที่แบบก่อสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และกลุ่มผู้รับเหมาที่ประมูลงานได้สำเร็จก็คือ กลุ่มซิโน-ไทย บริษัทของนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล และกลุ่มบีกริม ของนายฮาโรลด์ ลิงก์ ที่เป็นนายหน้า ขายตู้รถไฟและระบบเดินรถของซีเมนส์ให้
      
       ทาง การรถไฟ ฯ จ้าของโครงการยัง ยอมจ่ายเงินค่าธรรมเนียมการกู้เงินประมาณ 1,600 ล้านบาทแทนผู้รับเหมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะสัญญาว่าจ้างก่อสร้างเป็นระบบเทิร์นคีย์ หรือการรับเหมาก่อสร้างโครงการแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งก่อสร้างพร้อมจัดหาแหล่งเงินกู้เอง
      
       ในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เมื่อทางผู้รับเหมาส่งมอบงานไม่ทัน แทนที่จะถูกปรับวันละ 12 ล้านบาท ทางการรถไฟ ฯก็ใจดีอุตส่าห์ขยายเวลาการก่อสร้างให้รวม 730 วัน โดยที่บริษัทผู้รับเหมาไม่ต้องเสียค่าปรับแม้แต่บาทเดียว เพราะเจ้าของซิโนไทย คือ ตระกูล ชาญ วีรกุล แกนนำของพรรคภูมิใจไทย ที่ค้ำบัลลังก์ให้นายอภิสิทธิ์
      
       โครงการแอร์พอร์ต ลืงค์นี้ ได้ชื่อว่า การรถไฟฯ เป็นเจ้าของ แต่ การผลักดัน และดำเนินการโครงการ ตั้งแต่ต้นจนจบนั้น เป็นเรื่องของนักการเมืองที่คุมกระทรวงคมนาคมเท่านั้น การรถไฟฯ มีหน้าที่ ของบประมาณ มาจ่ายค่าก่อสร้างเท่านั้น และรับมอบโครงการไปบริหารต่อ เมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์
      
       แอร์พอร์ตลิงค์ จึงเป็นเหมือนลูกนอกไส้ ที่การรถไฟฯ ถูกยัดเยียดให้รับช่วงมาเลี้ยงดูต่อไป ด้วยความจำยอม ด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่มีการเตรียมการเรื่องการเดินรถ การบริหารจัดการทั้งระบบ ที่จะอำนวยความสะดวกใหกับผู้โดยสาร กำหนดการที่จะเปิดให้บริการต้องเลื่อนไปจากเดิมเกือบปี เพราะความไม่พร้อมในเรื่องการเดินรถ สุดท้ายต้องไปจ้างบริษัทต่างชาติมาเดินรถชั่วคราว ซึ่งทำอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ขอโบกมือลา
      
       การรถไฟฯ เพิ่งจะตั้งบริษัท รถไฟกรุงเทพมาเป็นผู้บริหารแอร์พอร์ต ลิงค์ เมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง และคณะกรรมการก็เพิ่งจะประชุมกันครั้งแรก เมื่อต้นเดือนมีนาคมนี้เอง บริษัทรถไฟกรุงเทพ ไม่มีพนักงาน ไม่มีเงิน ของบประมาณจากรัฐ 2,000 ล้านบาท ได้มาเพียง 140 ล้านบาทเท่านั้น และผลประกอบการตั้งแต่เปิดบริการมา มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 35 ล้านบาท แต่มีรายจ่าย 70 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีหนี้สินที่เกิดจากการรับโอนสินทระย์มาจาก การรถไฟฯ ถึง 7,000 ล้านบาท
      
       จะซื้อแปรงถ่าน ไว้เปลี่ยนแทนตัวที่ชำรุด ก็ไม่มีเงิน ต้องถอดตจากรถคันหนึ่งมาใส่อีกคันหนึ่ง
      
       อนาคตของ แอร์พอร์คลิงค์ จึงน่าเป็นห่วงมากๆ เพราะอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครดูแลอย่างจริงจัง เนื่องจากผลประโยชน์ก้อนใหญ่คือ ค่าก่อสร้างนั้น หมดไปแล้ว ไม่เหลืออะไรให้กอบโกยอีก การบริหารจัดการโครงการนั้น มีแต่จะขาดทุน เพราะโครงการนี้ ไม่ได้มีความสมเหตุสมผลในทางธุรกิจเลย แต่เกิดขึ้นเพื่อแสวงหาประโยชน์จากงานก่อสร่างเท่านั้น หากโครงการนี้มีศักยภาพที่จะทำกำไรได้จริง พรรคภูมิใจไทยคงไม่ปล่อยให้การรถไฟนเอากลับไปดูแลเองหรอก

ที่มา : manager.co.th

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

แผนที่โลกใหม่ หลังน้ำท่วมโลก เป็นไปได้จริงหรือ?

นายกอร์ดอน ไมเคิล สคัลเลียน

แผนที่โลกใหม่ หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)

แผนที่ประเทศไทยหลังจากปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ.2555)


    เรื่องที่กลายเป็นประเด็นสาธารณะ และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางที่สุดใน พ.ศ.นี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "น้ำท่วมโลก" ที่จะกลายเป็น "วันสิ้นโลก" ตามที่มีผู้เคยทำนายทายทักไว้ว่า จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ.2012 ผนวกกับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มนุษย์โลกได้เผชิญกับสัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ๆ ก็ยิ่งทำให้คนตื่นตระหนกกับ "วันสิ้นโลก" มากขึ้นเป็นเท่าตัว ฉะนั้นแล้ว จึงไม่แปลก หากคนจะกลับมาพูดถึงเรื่อง "แผนที่โลกใหม่" (Future Map of the World) ที่เคยมีผู้ทำนายเอาไว้ล่วงหน้า ว่าจะเหลือประเทศใดบ้างหลังผ่านเหตุการณ์ภัยพิบัติของโลก ในปี ค.ศ.2012 ไปแล้ว
          และผู้ที่ทำนายเรื่อง "แผนที่โลกใหม่" ไว้ก็คือ นายกอร์ดอน ไมเคิล สคัลเลียน ชายชาวอเมริกัน ซึ่งเคยเกือบเสียชีวิตไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับฟื้นขึ้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์ หลังจากนั้น เขาก็อ้างว่าได้รับพรสวรรค์เรื่องการหยั่งรู้อนาคต และยังเคยทำนายเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ถูกต้องหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในลอสแองเจอลิส แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ.1992 (พ.ศ.2535), เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแลนเดอร์ส (Landers) และ บิ๊กแบร์ (Big Bear) แคลิฟอร์เนีย เมื่อ 17 มกราคม ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) รวมทั้งแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) เป็นต้น
          สำหรับเรื่อง "น้ำท่วมโลก" นั้น นายกอร์ดอน บอกว่า ตนได้มองเห็นตัวเองอยู่สูงขึ้นไปในอวกาศ แล้วมองกลับลงมาบนโลกเห็นแผนที่ใหม่ของโลก จนเมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปี เขาก็ยังเห็นภาพเดิม ๆ อีก จึงได้สร้างแผนที่โลกใหม่ หรือ Future Map Of The World ขึ้นมา เมื่อปี ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) และจัดพิมพ์ในปี ค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) โดยระบุว่า จะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่ ๆ ในโลกระหว่างปี ค.ศ.1998-2012 (พ.ศ.2541-2555) ทั้งแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด รวมไปถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จนทำให้หลายประเทศหายไปจากแผนที่โลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเทศที่เป็นเกาะอยู่แล้วจะจมน้ำทั้งหมด และมีประชากรหลงเหลือเพียงแค่ 10% เท่านั้น
          และเมื่อพิจารณา "แผนที่โลกใหม่" ของนายกอร์ดอนแล้ว จะเห็นได้ว่า แต่ละทวีปเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดย




ทวีปเอเซีย หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)



ทวีปเอเชีย
          ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะอยู่ในแนว "วงแหวนแห่งไฟ" และเขตรอยต่อของเปลือกโลก นายกอร์ดอน ทำนายไว้ว่า จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่ประเทศฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ไล่ขึ้นไปถึงทะเลแบริ่งที่เป็นช่องแคบอยู่ระหว่างรัฐอะแลสกา กับประเทศรัสเซีย ทำให้เกาะของประเทศญี่ปุ่นจมทั้งหมด เหลือเพียง 2-3 เกาะเล็ก ๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ที่จะถูกน้ำกลืนไปทั้งหมด
          ส่วนไต้หวัน และเกาหลีส่วนใหญ่จะจมหายไปในทะเลด้วย ขณะที่แนวฝั่งของประเทศจีนจะเลื่อนเข้าไปในแผ่นดินอีกหลายร้อยไมล์ ด้านอินโดนีเซียจะเกิดเกาะใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่เกาะที่มีอยู่ก่อนหน้าก็จะจมหายไปด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากแผ่นเปลือกโลกที่เคลื่อนตัว ทำให้เกิดการมุดตัว  ยกตัวของแผ่นดิน
          สำหรับประเทศไทย นายกอร์ดอน ทำนายไว้ว่า จะเหลือเพียงแค่ส่วนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางส่วน และภาคกลางตอนบนเท่านั้น จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ตาก จะกลายเป็นชายฝั่งทะเล ขณะที่จังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง คือ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ มุกดาหาร นครพนม หนองคาย จะจมทะเลไปหมด และแม่น้ำโขงจะเปลี่ยนเป็นทะเลไปด้วย
          ขณะที่ภาคกลางตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานคร ภาคตะวันออก ภาคใต้ รวมทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ จะถูกน้ำท่วมจมหายไปจนหมดเช่นกัน


ทวีปออสเตรเลีย หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)


ทวีปออสเตรเลีย

          ประเทศออสเตรเลียจะสูญเสียแผ่นดินไปประมาณ 25% เพราะน้ำท่วมชายฝั่งเกือลหมด และจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาที่นอกชายฝั่งที่บริเวณช่องแคบบาสส์เชื่อมกับเกาะทาสเมเนีย ส่วนประเทศนิวซีแลนด์ จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะเกิดจากการยกตัวของแผ่นดินที่เป็นผลมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ และมีแผ่นดินบางส่วนเชื่อมต่อกับประเทศออสเตรเลียด้วย




ทวีปยุโรป หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)


ทวีปยุโรป
          ประเทศฟินแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์กจะถูกน้ำท่วม เหลือเพียงเกาะเล็ก ๆ น้อย ๆ นับร้อยเกาะ ขณะที่สหราชอาณาจักร ตั้งแต่สกอตแลนด์จนถึงช่องแคบจะจมหายไปในทะเลทั้งหมด เหลือเพียง 2-3 เกาะเล็ก ๆ เท่านั้น
          ประเทศรัสเซียจะแยกตัวออกจากทวีปยุโรป เพราะทะเลสาบแคสเปียน ทะเลดำ ทะเลคารา ทะเลบอสติก จะมารวมเข้าไว้ด้วยกัน กลายเป็นทะเลขนาดใหญ่แห่งใหม่ ถูกแบ่งด้วยเทือกเขาอูราล ยาวไปถึงแม่น้ำเยนิเซในไซบีเรีย ตรงนี้อุณหภูมิจะอบอุ่นขึ้น กลายเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ในอนาคต
          ประเทศบัลแกเรีย และโรมาเนียจะจมอยู่ใต้น้ำ เพราะทะเลดำขยายตัวไปรวมกับทะเลทางตอนเหนือ ประเทศฝรั่งเศสจมน้ำทั้งหมด เหลือแค่เกาะในกรุงปารีส และเกิดทางน้ำใหม่แยกประเทศสวิตเซอร์แลนด์ออกจากประเทศฝรั่งเศส ส่วนประเทศอิตาลี ซึ่งมีพื้นที่ต่ำอยู่แล้วจะจมน้ำทั้งหมด ยกเว้นนครรัฐวาติกันที่อยู่ที่สูงจะปลอดภัย และแผ่นดินสูง ๆ จะกลายเป็นเกาะ เกิดแผ่นดินใหม่ทอดยาวจากเกาะซิซิลิไปจนถึงเกาะซาร์ดิเนีย
          นอกจากนี้ นายกอร์ดอน ยังทำนายด้วยว่า จะเกิดสงครามศาสนาในดินแดนโปแลนด์ เรื่อยไปถึงตุรกี แต่สงครามจะยุติลงด้วยความบริสุทธิ์ของแผ่นดินโดยไฟและน้ำ ขณะที่ตุรกีด้านตะวันตกจะจมอยู่ในน้ำ เกิดแนวชายฝั่งใหม่จากเมืองอีสตันบูลถึงไซปรัส ส่วนใหญ่ของสมรภูมิในสงครามโลกครั้งที่สองจมลงสู่ใต้ทะเล ก่อให้เกิดเกาะเล็ก ๆ ขึ้น



ทวีปแอฟริกา หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)


ทวีปแอฟริกา
          ทวีปแอฟริกาจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยมีแม่น้ำไนล์ซึ่งกว้างกว่าเดิมมากเป็นตัวแบ่งเขต โดยแม่น้ำไนล์นี้ จะวางอยู่ในรูปตัว Y ของกลางทวีป และไหลผ่านเส้นทางใหม่ คือ ไหลจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตรงปากแม่น้ำไนล์ ผ่านประเทศซูดาน และมีต้นกำเนิดแม่น้ำอยู่ที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้
          ขณะที่ทะเลแดง ซึ่งอยู่ตอนเหนือของทวีปจะขยายกว้างขึ้น ทำให้กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และเกาะมาดากัสการ์เกือบทั้งหมดจมลงสู่ทะเล ทะเลสาบวิคทอเรียจะรวมเข้ากับทะเลสาบนยาซาไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดีย
          นอกจากนี้ ยังมีแผ่นดินใหม่เกิดขึ้นในทะเลอาหรับ บริเวณตอนใต้ของประเทศโอมาน และยังมีแผ่นดินขนาดใหญ่เกิดขึ้นบริเวณทางเหนือและตะวันตกของเมืองเคปทาวน์ด้วย

ทวีปอเมริกาเหนือ
          อ่าวฮัดสันในประเทศแคนาดาจะขยายตัวออกกลายเป็นทะเลปิดในประเทศ พื้นดินบริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือจะต้องถอยร่นเข้ามาในแผ่นดินอีก 200 ไมล์ เพราะพื้นที่เก่าถูกน้ำท่วมไปจนหมด ส่วนชาวเมืองที่อาศัยแถบบริติชโคลัมเบีย และอะแลสกา จะต้องอพยพมาอยู่ในควิเบก ออนตาริโอ มานิโตบา ซาสแกนเซวัน แอลเบอร์ตา จะกลายเป็นศูนย์กลางผู้ที่รอดพ้นหายนะระหว่างการเปลี่ยนแปลงในตอนต้น
          ส่วนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นที่แรกของโลก โดยแผ่นทวีปอเมริกาเหนือจะเกิดการโก่งตัว เกิดหมู่เกาะแคลิฟอร์เนียขึ้นอีก 150 เกาะ ต่อมาแผ่นเปลือกโลกแผ่นหนึ่งที่มุดตัวลงไปใต้อีกแผ่นหนึ่ง จะทำให้เกิดแนวโก่งตัวและรอยแยก นำไปสู่อุทกภัย ทำให้ ฝั่งทะเลด้านตะวันตกหดลงไปทางตะวันออกสู่รัฐเนเบรสกา ไวโอมิง และโคโลราโด ส่วนทะเลสาบ เกรทเลค (ประกอบด้วยทะเลสาบสุพิเรีย, ฮูรอน, มิชิแกน, อิรี และออนแตริโอ) และแม่น้ำเซนต์ลอเรนซ์จะเชื่อมต่อเข้ากับแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ไหลลงสู่อ่าว
          ขณะที่ประเทศเม็กซิโก น้ำจะท่วมจากชายฝั่งเข้ามาในแผ่นดิน ทำให้คาบสมุทรแคลิฟอร์เนียกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ พื้นที่ส่วนใหญ่ของยูคาทาน พีนิซูลาจะหายไปในทะเล และจะเกิดภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว ต่อเนื่องยาวนานถึง 25 ศตวรรษ
          ประเทศในอเมริกากลางและแคริบเบียนจะเกิดอุทกภัย จำนวนเกาะลดลง จะมีเส้นทางน้ำใหม่เกิดขึ้นจากอ่าวฮอนดูรัสไปออกที่เอลซัลวาดอร์ ส่วนคลองปานามาจะกลายเป็นคลองตัน

ทวีปอเมริกาใต้
          เนื่องจากมีหลายประเทศอยู่ในพื้นที่ "วงแหวนแห่งไฟ" ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทวีปอเมริกาใต้มากไม่แพ้ทวีปเอเชีย โดยจะเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดในประเทศเวเนซุเอลา โคลัมเบีย และบราซิล จะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในลุ่มน้ำอะเมซอนที่ประเทศเปรู และโบลิเวีย กลายเป็นทะเลในภายในทวีป ส่วนประเทศซานวาดอร์ เซาเปาโล ริโอดอร์จาเนโร และบางส่วนของ อุรุกวัย จะจมหายไปในทะเล
          ส่วนเมืองซัลวาดอร์ เซาเปาโล ริโอเดอร์จาเนโร ของประเทศบราซิล และบางส่วนของประเทศอุรุกวัยจะจมหายไปในทะเล ขณะที่ประเทศอาร์เจนตินาจะเกิดทะเลปิดขึ้นในตอนกลางของประเทศ และยังเกิดแผ่นดินขนาดใหญ่ทางตะวันตกของทวีป บริเวณประเทศชิลี รวมทั้งเกิดทะเลปิดขึ้นในบริเวณนั้นอีกแห่งด้วย

ขอบคุณ : kapook.com, moeipit.com




วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

ญี่ปุ่นคาดยอดสังเวยธรณีพิบัติพุ่งเกินหมื่นศพ




วันนี้ 14 มี.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  จากกรณีแผ่นดินไหวรุนแรง 8.9 ริคเตอร์ นอกชายฝั่งเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ตามรายงานของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ แต่ทางการญี่ปุ่นได้ประกาศยกระดับแรงสั่นสะเทือนเป็น 9.0 ริคเตอร์แล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นบริเวณกว้างจากคลื่นยักษ์สึนามิและการระเบิดของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ภายในโรงไฟฟ้าฟูกูชิมา ท่ามกลางความหวาดวิตกว่าจะรุนแรงคล้ายกับเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลในยูเครนระเบิดเมื่อปี 2529 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

อาฟเตอร์ช็อก6.2ริคเตอร์
          ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา  สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ว่าได้เกิดอาฟเตอร์ช็อก หรือ แรงสั่นสะเทือนตามหลังแผ่นดินไหว นอกชายฝั่งด้านทิศตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น ใกล้กับกรุงโตเกียว เมื่อเทียบกับแผ่นดินไหวรุนแรง 8.9 ริคเตอร์จนเกิดคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งอาฟเตอร์ช็อกล่าสุดนี้ยังทำให้อาคารสูงในกรุงโตเกียวเกิดการสั่นไหว โดยสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐแจ้งว่า เมื่อเวลา 10.26 น.เช้าวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับ 08.26 น.เช้าวันเดียวกันตามเวลาในประเทศไทย วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.2 ริคเตอร์ มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ 179 กม.ทางทิศตะวันออกของกรุงโตเกียว และในระดับความลึก 24.5 กม. นับตั้งแต่แผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เกิดอาฟเตอร์ช็อกไปแล้วกว่า 150 ครั้ง

แฉเตาปฏิกรณ์ฯอาจบึ้มอีก

           โฆษกของบริษัทการไฟฟ้าโตเกียว อีเลคตริค เพาเวอร์ (เทปโก) แถลงว่า ระบบหล่อเย็นของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 3 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมา หมายเลข 1 ไม่ทำงาน มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการระเบิดขึ้นมา ดังนั้นจึงต้องฉีดน้ำทะเลเข้าไปข้างในและความดันเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตรวจวัดกัมมันตภาพรังสี พบว่า มีระดับสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จากผลของการระเบิดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นอกจากนั้นแล้วยังมีส่วนบนของแท่งเชื้อเพลิงโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ 3 เมตร เป็นสัญญาณบ่งบอกเรื่องการหลอมละลายของเตาปฏิกรณ์ แต่ต่อมา แท่งเชื้อเพลิงดังกล่าวก็ถูกครอบเอาไว้ได้แล้ว

ยอมรับรั่วจริงแต่ไม่อันตราย
           ขณะเดียวกัน นายยูคิโอะ เอดาโนะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น แถลงว่า ระดับของกัมมันตภาพรังสีได้ลดลงมาแล้ว สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวขึ้นไปทางเหนือ 270 กม. มีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ด้วยกัน 3 เตา ซึ่งทั้ง 3 เตานี้ต่างก็ไม่มีระบบหล่อเย็นทำงาน อันเป็นผลมาจากแผ่นดินไหวรุนแรงและสึนามิ ทำให้กระแสไฟฟ้าขัดข้อง อย่างไรก็ตาม ทางการได้อพยพประชาชน 200,000 คน ในรัศมี 20 กม.รอบโรงไฟฟ้าออกไปหมดแล้ว ตามมาตรการป้องกันเพื่อความปลอดภัย 
    
เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ปริมาณของกัมมันตภาพรังสีที่รั่วไหลออกมาสู่อากาศนั้น ไม่ได้อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่ก็ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการหลอมละลายในเตาปฏิกรณ์ตัวหนึ่งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมา และอาจจะเกิดขึ้นกับเตาปฏิกรณ์อีกตัวหนึ่ง

เผยสเกลวัดระดับอยู่ที่ 4

           เจ้าหน้าที่สำนักงานความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมาหมายเลข 1 อันเนื่องจากผลกระทบจากแผ่นดินไหวรุนแรงและคลื่นสึนามินั้น อยู่ในระดับ 4 ของมาตรฐานสากล ซึ่งมีตั้งแต่ 0-7 และระดับที่ 4 นั้นหมายความว่าอุบัติเหตุจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์จะมีผลกระทบตามมาต่อคนในท้องถิ่น ส่วนที่เคยเกิดอุบัติเหตุที่ผ่านมาในอดีตนั้น ในปี 2522 ที่โรงไฟฟ้าเกาะทรี ไมล์ ในสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ระดับ 5 และ โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล เมื่อปี 2529 อยู่ในระดับสูงสุดคือ ระดับ 7 สำหรับญี่ปุ่นเองก็เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เมื่อปี 2542 เมื่อเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ขั้นร้ายแรงกับโรงงานผลิตยูเรเนียม ส่งผลให้กัมมันตภาพรังสีรั่วไหล

ถูกกัมมันตภาพรังสี160คน

         เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งของสำนักงานความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น กล่าวว่า จำนวนผู้ได้รับกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ อาจสูงถึง 160 คน ทั้งนี้มี 9 คนแล้วที่แสดงอาการของการได้รับกัมมันตภาพรังสี จากข้อมูลการตรวจวัดโดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและอื่นๆ จึงประเมินได้ว่าตัวเลขผู้ได้รับกัมมันตภาพรังสีอาจสูงจาก 70 คนเป็น 160 คน 

ลมอาจพัดรังสีตกในแปซิฟิก    
         นายอังเดร-เคลาด์ ลาคอสต์ แห่งองค์การความปลอดภัยนิวเคลียร์ฝรั่งเศส เปิดเผยว่า เมื่อพิจารณาจากทิศทางลมขณะเกิดอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมาหมายเลข 1 ระเบิดนั้น อาจพัดพามลพิษจากนิวเคลียร์ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก สถานการณ์เรื่องนี้ค่อนข้างร้ายแรง ทีมงานขององค์การความปลอดภัยนิวเคลียร์ฝรั่งเศสได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากทางญี่ปุ่น เพราะมีคนที่ดูแลรับมือกับเรื่องนี้มากหมายคน

สหรัฐส่ง2ผู้เชี่ยวชาญไปช่วย
          นายเกรกอรี่ แจคโก้ ประธานคณะกรรมการควบคุมด้านพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐ เปิดเผยว่า ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญ 2 คนเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นแล้ว ซึ่งทางการญี่ปุ่นพยายามอย่างยิ่งที่จะคลี่คลายความหวาดวิตกของผู้คนหลังอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด โดยผู้เชี่ยวชาญ 2 คนนี้ อยู่ในทีมความช่วยเหลือของสหรัฐที่ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่ประสบภัย และมีความชำนาญในเรื่องระบบหล่อเย็นของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ซึ่งสหรัฐพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในทุกวิถีทาง สำหรับคณะกรรมการควบคุมด้านพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐนี้ เป็นหน่วยงานอิสระ ได้รับการแต่งตั้งจากสภาคองเกรสของสหรัฐ เพื่อดูแลในด้านโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เพื่อการพาณิชย์และอื่นๆ 

ออสซี่ต้องการข้อมูลด่วน    
          นายเควิด รัดด์ รมว.ต่างประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า ออสเตรเลียต้องการข้อมูลอย่างเร่งด่วนจากทางการญี่ปุ่นเกี่ยวกับภัยคุกคามหลังการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และ พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือด้วยการส่งทีมผู้เชี่ยวชาญไปช่วย ทั้งนี้ รมว.ต่างประเทศออสเตรเลียได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายทาเคอากิ มัตซึโมโต้ รมว.ต่างประเทศของญี่ปุ่น เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมา แม้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาระบุว่า ยังไม่มีอันตรายร้ายแรงนอกเขตรัศมี 20 กม.จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ออสเตรเลียและทั่วโลกต่างต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้

นายกฯยุ่นโดนสื่อจวกยับ
         หนังสือพิมพ์โยมิยูริ ชิมบุน หนังสือพิมพ์รายวันที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของประเทศญี่ปุ่น รายงานในบทบรรณาธิการว่า การให้ข้อมูลของรัฐบาลในเรื่องอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด เป็นไปอย่างล่าช้าและยังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ เมื่อมีกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลออกมา แต่รัฐบาลก็พยายามที่คลายความวิตกว่าไม่ถึงขั้นหลอมละลาย โดยระบุว่า แรงระเบิดไม่ได้ทำให้อาคารที่ครอบเตาปฏิกรณ์ฉีกขาด และกัมมันตภาพรังสีได้ลดระดับลงมาแล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องใช้เวลานานถึง 5 ชั่วโมงเพื่อปฏิเสธเรื่องการหลอมละลายของแท่งเชื้อเพลิงภายในเตาปฏิกรณ์ ส่วนหนังสือพิมพ์อาซาฮี ชิมบุน รายงานในเชิงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่า ไม่กล้าตัดสินใจและให้ข้อมูลล่าช้ามากเรื่องการขยายพื้นที่อพยพสำหรับประชาชนในรัศมีโดยรอบโรงไฟฟ้า นอกจากนั้น ยังกล่าวโจมตีบริษัทโตเกียว อีเลคตริค เพาเวอร์ (เทปโก) ซึ่งดูแลโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เกิดเหตุว่า ยังใช้มาตรการไม่เต็มกำลังสามารถกับการรับมืออุบัติเหตุร้ายแรงเช่นนี้ บอกแต่เพียงว่า เป็นเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการคาดหมาย

ไม่เห็นด้วยใช้น้ำทะเลฉีด 

           อย่างไรก็ตาม นายอิชิโร ฟูจิซากิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำสหรัฐ ให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นว่า ยังไม่เห็นหลักฐานว่าเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เกิดเหตุอยู่ในภาวะหลอมละลาย แต่ยอมรับว่ามีบางส่วนที่ละลายไปบ้าง ขณะที่นายโรเบิร์ต อัลวาเรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐ ซึ่งทำงานอยู่ที่สถาบันนโยบายศึกษา และ ดูแลเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์ กล่าวเตือนว่า การปั้มน้ำทะเลเข้าไปเพื่อลดความร้อนของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แสดงให้เห็นถึงการหมดหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว และอาจเกิดเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรงเหมือนกับที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิด

ไอเออีเอรับแจ้งอุบัติเหตุดับ1
            ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) แถลงว่า ได้รับแจ้งจากทางการญี่ปุ่นว่า มีคนงานเสียชีวิต 1 ศพ และบาดเจ็บ 4 คนจากอุบัติเหตุเครนปฏิบัติการพังลงมา ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมาหมายเลข 2 ทางชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หมายเลข 1 ซึ่งเกิดระเบิดขึ้นมาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น ทางการญี่ปุ่นกำลังหาทางแก้ปัญหาการหลอมละลายของเตาปฏิกรณ์ 2 เตา ซึ่งมีคนงาน 8 คนได้รับกัมมันตภาพรังสี แยกเป็น 4 คนบาดเจ็บจากเตาหมายเลข 1 และอีก 3 คนบาดเจ็บจากเหตุอื่นๆ นอกจากนั้น ยังพบว่ามีคนงาน 1 คนได้รับกัมมันตภาพรัวสีในปริมาณที่สูงกว่าปกติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ของไอเออีเอ

มะกันนำทีมนานาชาติช่วย
           ปฏิบัติการกู้ภัยจากนานาชาติต่างเร่งรีบเข้าไปในพื้นที่ประสบภัยในประเทศญี่ปุ่น นำโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส โรนัลด์ เรแกน มาถึงนอกชายฝั่งของญี่ปุ่นแล้วเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อให้การสนับสนุนด้านการส่งบำรุงกำลังกับทหารญี่ปุ่น ซึ่งก็ระดมกำลังมาเพิ่มอีกเป็น 100,000 คนแล้ว สำหรับภารกิจกู้ภัยและฟื้นฟู เช่น การเติมน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับเฮลิคอปเตอร์ รวมถึงการขนส่งทหารเข้าไปในพื้นที่ประสบภัย นอกจากนั้นในวันเดียวกันนี้ สมาชิกทีมกู้ภัย 144 คนของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (ยูเสด) ก็จะมาร่วมปฏิบัติการภาคพื้นดินด้วย นอกจากนั้นก็มี ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ อังกฤษ ฝรั่งเศส และ สิงคโปร์ ต่างส่งทีมกู้ภัยพร้อมสุนัขดมกลิ่นมาช่วยเหลือแล้ว อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น สรุปว่ามี 69 ประเทศทั่วโลกและองค์การระหว่างประเทศ 5 องค์กร ที่เสนอให้ความช่วยเหลือกับญี่ปุ่น

แผ่นดินญี่ปุ่นเลื่อน2.4เมตร

           นายพอล เออร์ล นักธรณีฟิสิกส์ซึ่งศึกษาเรื่องแผ่นดินไหวแห่งสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ เปิดเผยว่า ผลจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงของญี่ปุ่นและเป็นแผ่นดินไหวครั้งที่ใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งเท่าที่ได้มีการบันทึกมา ทำให้แผ่นดินของญี่ปุ่นมีการเคลื่อนตัวประมาณ 8 ฟุต หรือ 2.4 เมตร สาเหตุมาจากแผ่นดินไหวและรอยเลื่อนเปลือกโลกเกิดการเคลื่อนไหวเพราะรอยเลื่อนย้อนมุมต่ำตามแนวเขตของเปลือกโลกแปซิฟิกและอเมริกาเหนือ  ซึ่งปกติแล้ว รอยเลื่อนเปลือกโลกแปซิฟิกจะเคลื่อนตัวเฉลี่ยแล้วปีละ 3.3 นิ้ว แต่หากมีแผ่นดินไหวรุนแรงก็อาจทำให้ขยับรอยเลื่อนไปได้แรง ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงตามมา และ การเคลื่อนตัวของแผ่นดินนี้ก็เคยปรากฏให้เห็นในประเทศชิลี และ อินโดนีเซีย ซึ่งต่างเคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงและคลื่นยักษ์สึนามิตามมา นอกจากนั้น สถาบันธรณีวิทยาของอิตาลีระบุด้วยว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ได้ทำให้แกนของโลกเอียงไป 10 ซม.

พบศพเพิ่มเติมอีกเพียบ  
  
           โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า จากรายงานเบื้องต้นทราบว่าพบอีก 400-500 ศพในสองจุดด้วยกัน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ส่วนแถลงการณ์ที่ยืนยันได้แล้วระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตได้เพิ่มขึ้นเป็น 688 ศพ สูญหาย 642 คน และบาดเจ็บ 1,570 คน แต่โฆษกรัฐบาลแถลงว่า น่าจะมีผู้เสียชีวิตทั่วประเทศกว่า 1,000 ศพ  บ้านเรือนราษฎรและอาคารถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายกว่า 12,250 หลัง จมน้ำอีก 2,400 หลัง และถูกไฟไหม้อีกกว่า 100 หลัง มีแผ่นดินถล่มด้วย 60 ครั้ง ประชาชน 380,000 คน อพยพเข้าไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว ส่วนใหญ่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เพราะต้องปิดเตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายแห่ง

แฉยอดตายอาจทะลุ1หมื่นศพ
           โทรทัศน์เอ็นเอชเค รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของนายนาโอโตะ ทาเคคูชิ หัวหน้าตำรวจจังหวัดมิยางิ ว่ายอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นอาจสูงถึง 10,000 ศพ เฉพาะในจังหวัดมิยางิจังหวัดเดียว ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ประสบภัยที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด หลายเมืองริมชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ถูกคลื่นสึนามิซัดพังราบไปทั้งเมือง แล้วยังมีเพลิงไหม้ตามมาอีกด้วย ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวเกียวโดได้ประเมินไว้ว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,800 ศพ

เจอคนรอดตายเกาะขอนไม้

         ชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ทราบชื่อในภายหลังว่า นายฮิโรมิตซึ ชินกาวะ อายุ 60 ปี ซึ่งถูกคลื่นยักษ์สึนามิพัดออกทะเลไปไกล 15 กม. ได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาจากน้ำได้อย่างปลอดภัยแล้ว หลังจากพบว่ากำลังเกาะเศษขอนไม้ซึ่งเป็นแผ่นกระดานมุงหลังคาลอยอยู่กลางทะเล โดยเรือพิฆาตลำหนึ่งของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลพบตัวเขาลอยอยู่ในทะเลนอกชายฝั่งจังหวัดฟูกูชิมา 2 วันหลังแผ่นดินไหว โดยตัวเขาอาศัยอยู่ที่เมืองมินามิโซมะซึ่งถูกทำลายโดยราบคาบ ช่วงที่พบตัวเขานั้น ยังมีสติดีอยู่ ก่อนเกิดเหตุทราบแล้วว่า คลื่นสึนามิกำลังจะมา จึงวิ่งหนีออกจากบ้าน แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ลืมของ วิ่งกลับไปที่บ้าน คลื่นก็ซัดเข้ามาพอดี จึงปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านตัวเอง และรอดมาได้ในที่สุด เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากเรือพิฆาต และ นำขึ้นเฮลิคอปเตอร์ส่งโรงพยาบาลต่อไป

ยอมรับผลกระทบวงกว้าง
          นายยูคิโอะ เอดาโนะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น แถลงว่า จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิบัติภัยครั้งนี้ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมากในพื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือและสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานนิวเคลียร์ คาดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบเป็นบริเวณกว้าง ขณะที่นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า อาจต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์กว่าจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าความเสียหายและผลกระทบทางเศรษฐกิจรวมไปถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อไป ขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลอาจจะต้องอัดฉีดเม็ดเงินเป็นจำนวนมากถึง 1 แสนล้านเยน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และ บริษัทธุรกิจชั้นนำของญี่ปุ่นเช่นค่ายรถยนต์ต่างๆ ได้ประกาศระงับการผลิตไว้ก่อน และบางบริษัทตัดสินใจปิดโรงงานผลิตก็มี

นิชชินบริจาคบะหมี่ล้านห่อ
          บริษัทนิชชิน ฟู้ดส์ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น จะบริจาคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจำนวน 1 ล้านห่อ ให้กับผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ พร้อมกันนั้นก็จะส่งรถครัวเคลื่อนที่หลายคัน เดินทางเข้าไปในพื้นที่ด้วย ภายในรถจะมีห้องครัวเล็กๆ ติดแก๊ส และ บริการน้ำร้อนสำหรับปรุงบะหมี่ให้ด้วย นอกจากนั้นแล้ว บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่ม ซันโตรี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ก็จะนำน้ำดื่ม 360,000 ขวด ไปบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยเช่นกัน

ยังไม่มีคนไทยได้รับผลกระทบ
            ส่วนของประเทศไทย ที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานเพิ่มเติมว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่ไทยที่จะเริ่มเข้าไปยังเมืองที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิ เพราะทางญี่ปุ่นเริ่มที่จะเปิดพื้นที่บ้างแล้ว แต่อาจจะต้องใช้เวลาเป็น 10 ชั่วโมง ส่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆที่เราจะส่งไปจากประเทศไทยนั้น ยังต้องรออยู่ เพราะทางญี่ปุ่นขอเวลาอีกเล็กน้อยในการที่จะเตรียมความพร้อมในการจัดระบบของการประสานการช่วยเหลือ ซึ่งขณะนี้สิ่งสำคัญคือการติดตามว่ามีคนไทยได้รับผลกระทบหรือไม่ ซึ่งฐานข้อมูลของเราค่อนข้างดีว่ามีคนไทยอยู่ที่ไหน อย่างไร และกำลังใช้วิธีการไล่ตามเครือข่ายต่าง ๆ ให้ยืนยันว่าทุกคนอยู่ครบและปลอดภัย อาจจะมีคนที่เข้าไปแบบผิดกฎหมายบ้างเท่านั้น ที่เราจะไม่มีฐานข้อมูลอยู่ ตอนนี้ยังไม่มีรายงานว่าคนไทยได้รับผลกระทบ แต่บางเมืองยังไม่ค่อยมีข้อมูลที่ชัดเจนนัก เพราะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอาจจะยังเข้าไปได้ไม่หมด

เมื่อถามว่าตอนนี้มหันตภัยใหญ่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลกบ่อยครั้ง ในส่วนของประเทศไทยได้เตรียมรับมืออย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องภัยพิบัติเป็นเรื่องที่เราได้มีการซักซ้อมอยู่ตลอดเวลา และได้มอบหมายให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นศุนย์ และได้มีการปรับปรุงกฎหมาย และระบบการป้องกันภัยมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามคงต้องฝึกฝนในแง่การประสานงานกันมากขึ้น เพราะเหตุที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นก็เห็นกันแล้วว่าไม่ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่จะมีอะไรหลายอย่างตามมาด้วย เมื่อถามว่ามั่นใจเครื่องเตือนภัยที่ติดตั้งในประเทศได้มากน้อยแค่ไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เขามีการตรวจสอบและทดสอบเป็นระยะ ๆอยู่แล้ว

จับตาราคายาง-น้ำมันตก

           นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้พบว่าแนวโน้มราคาน้ำมันและราคายางพาราจะตกต่ำลง ซึ่งกำลังติดตามดูต่อไปว่าจะมีผลกระทบรุนแรงแค่ไหน ทั้งนี้เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็นตลาดใหญ่ และเป็นผู้ใช้ยางพารารายใหญ่ เมื่อถามว่าจากการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แนวคิดที่จะมีการผลักดันให้ตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยควรจะพับไปหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ยังอยู่ในช่วงศึกษาเตรียมการ ตนคิดว่าประสบการณ์ที่เกิดกับประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้คงมีผลต่อการตัดสินใจต่อไป เพราะเราจำเป็นต้องพิสูจน์ระบบความปลอดภัยค่อนข้างมาก เพราะระยะหลังทั้งภัยพิบัติและภัยก่อการร้ายได้สร้างความเสี่ยงเพิ่มเติมขึ้นมา อีกทั้งต้นทุนก็มักจะสูงกว่าการประมาณการ  

เตรียมอนุมัติเงินช่วยเหลือเพิ่ม    

            นายกรัฐมนตรี กล่าวอีก ว่า ขณะนี้สถานการณ์ที่ญี่ปุ่นยังไม่ถึงกับนิ่ง เพราะมีอาฟเตอร์ช็อคอยู่ ชาวญี่ปุ่นและชาวต่างประเทศในญี่ปุ่นจำนวนมากได้รับผลกระทบ ประเทศไทยได้ส่งสารแสดงความเสียใจและได้แสดงความจำนงที่จะช่วยญี่ปุ่นซึ่งเป็นทั้งมิตรและหุ้นส่วนในการพัฒนามาเป็นเวลายาวนาน โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และในวันที่ 14 มี.ค. ครม.จะอนุมัติการช่วยเหลือเช่น เรื่องตัวเงิน โดยคงทำมากกว่าเกณฑ์ปกติที่กำหนดไว้ ขณะเดียวกันได้มีการเปิดรับบริจาคความช่วยเหลือต่าง ๆ จากคนไทยที่จะส่งไปช่วยญี่ปุ่น ด้วย ในส่วนของรัฐบาลไทยได้เสนอการช่วยเหลือตามความต้องการของญี่ปุ่น  โดยได้เตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่ หน่วยกู้ภัย สุนัข พิสูจน์หลักฐาน และเรื่องอื่น ๆ ส่วนจะส่งไปช่วยเมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของญี่ปุ่น 

ชงของบ100-200ล้านช่วยยุ่น    
       
           ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายเซอิจิ โคจิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ได้เข้าพบกับ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เพื่อหารือถึงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิและแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นโดย นายกษิต ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือดังกล่าว ว่าเป็นการเชิญเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ มาพบเพื่อยืนยันความพร้อมและความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยและประชาชนไทยที่จะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ญี่ปุ่น โดยขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เปิดบัญชีรับเงินบริจาค และเตรียมนำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันที่ 14 มี.ค.นี้ เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากเดิมที่ได้ช่วยเหลือญี่ปุ่น 5 ล้านบาท โดยจะของบประมาณ 100-200 ล้านบาท ในการจัดซื้อสิ่งของช่วยเหลือและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่จะไปปฏิบัติงานช่วยเหลือครั้งนี้ 

ส่งทีมแพทย์ช่วยคนไทย-ครอบครัว       
           นายกษิต กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ทางกระทรวงฯได้ประสานที่จะส่งทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยและสุนัขดมกลิ่น รวมทั้งแพทย์ เจ้าหน้าที่พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) และเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม อีกทั้งจะจัดส่งเครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น อาทิ อาหารสำเร็จรูป ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว ถุงมือ รองเท้าบูทยาง เป็นต้น ซึ่งทางเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น แจ้งว่าอากาศในญี่ปุ่นขณะนี้หนาวเย็นมาก จึงต้องการอุปกรณ์กันความหนาวเย็นเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสิ่งของได้ประสานงานกับกองทัพอากาศในการเตรียมเครื่องบิน ซี 130 บรรทุกสิ่งของไปยังญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะจัดส่งไปได้ใน 1-2 วันนี้  และเราได้ขอให้ นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงโตเกียว ได้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับรองรับสิ่งของเหล่านี้ทั้งในพื้นที่ของสถานเอกอัครราชทูตไทยฯ และขอความอนุเคราะห์ไปยังเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินนาริตะ 

คุมได้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด 
           รมว.ต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า ส่วนการที่เรายังไม่ส่งทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยและสุนัขดมกลิ่นไปยังญี่ปุ่นในตอนนี้ เนื่องจากทางญี่ปุ่นแจ้งว่ามีทีมกู้ภัยจากต่างประเทศ มาทำงานร่วมกับทีมของญี่ปุ่น ซึ่งมีมากพอ และทางการญี่ปุ่นยังไม่พร้อมที่จะต้อนรับทีมเจ้าหน้าที่อีกจำนวนมากจากหลายประเทศ จึงขอให้แต่ละประเทศส่งสิ่งของมาช่วยเหลือเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ยังระบุว่าตอนนี้มีตัวเลขของผู้เสียชีวิต จำนวน 689 คน และผู้บาดเจ็บ 639 คน ส่วนกรณีของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมาระเบิด ขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ ไม่น่าวิตกแต่อย่างใด

ใช้พื้นที่วัดปากน้ำรวมพลคนไทย
            ด้านนายวีระศักดิ์ กล่าวผ่านทางโทรศัพท์จากญี่ปุ่น ว่า กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นได้แสดงความขอบคุณประเทศไทยที่จะจัดส่งความช่วยเหลือต่างๆมายังญี่ปุ่น นอกจากนี้ เราได้ประสานงานกับวัดปากน้ำมาก่อนหน้านี้แล้วว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน จะขออาศัยพื้นที่ของวัดเป็นพื้นที่รวมพล เพราะอยู่ใกล้กับสนามบินนาริตะ ซึ่งเจ้าอาวาสวัด ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยขณะนี้เราได้ตรวจสอบกับทางเครือข่ายชุมชนคนไทยในแต่ละจังหวัด อาทิ  จ.ชิบะ ซึ่งมีคนไทยประมาณ 5,500 คน นากาโนะ ประมาณ 2,000 คน เป็นต้น โดยยังไม่มีรายงานว่ามีคนไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ส่วนที่เมืองเซนได ที่มีคนไทยอยู่ประมาณ 200 กว่าคนนั้น เรายังไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่ได้พบคนไทยแล้วกว่า20 คน ซึ่งทางการญี่ปุ่นให้การดูแลตามสภาพที่เป็นอยู่เช่นเดียวกับชาวญี่ปุ่นทั่วไป ให้พักอาศัยอยู่ในอาคารยิมเนเซียม และมีอาหารพร้อมน้ำดื่มจัดเตรียมไว้ให้ด้วย 

ถกด่วนแผนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 
            ด้านนายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า เตรียมหารือกับกระทรวงพลังงาน, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ว่าจะมีแผนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปหลังจากที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น จนส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เนื่องจากการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์จำเป็นต้องสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยแก่ประชาชน เพราะหากประชาชนในพื้นที่ไม่ยอมรับก็ไม่สามารถก่อสร้างได้ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าประเภทใดก็ตาม  แต่หากไม่ดำเนินการใดๆ เชื่อว่าในอนาคตประเทศไทยคงประสบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าแน่นอน เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้าในบ้านเราขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าระยะยาว (พีดีพี) จะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5 โรง โรงละ 1,000 เมกะวัตต์  จะเข้าระบบโรงแรกในปี  2563 และโรงที่ 2 ปี 2564 หากคณะรัฐมนตรีตัดสินให้เดินหน้าต้นปี 2554 แล้ว การก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะเสร็จสิ้นตามแผนปี  2563 แต่หากยังไม่ตัดสินใจและเลื่อนออกไปทางกระทรวงพลังงานคงจะต้องมีการปรับแผนนำโรงไฟฟ้าประเภทอื่นเข้ามาทดแทน  

ชี้เปลือกโลกเคลื่อนไม่กระทบไทย 
              นายอดิชาติ สุรินทร์คำ ผู้ตรวจราชการกรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะโฆษกกรมทรัพยากรธรณี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีข้อมูลจากนักธรณีวิทยา สหรัฐอเมริกา ระบุว่าการเกิดแผ่นดินไหววัดความรุนแรงได้ 8.9 ริคเตอร์ และตามด้วยสึนามิ ได้ทำให้เกาะฮอนชูของญี่ปุ่น ขยับไปทางตะวันออก 8 ฟุต และทำให้แกนโลกเปลี่ยน ว่า ปกติแผ่นเปลือกโลกมีการเคลื่อนตัวในทุกวันๆ อยู่แล้ว ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่  แต่เป็นไปโดยที่เราไม่รู้สึก  ซึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเกิดเร็วขึ้น  และเมื่อเกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกในบริเวณใดก็จะกระทบกับพื้นที่ใกล้เคียงเท่านั้น ซึ่งการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่กระทบกับประเทศไทยแต่อย่างใดในระยะสั้นเพราะห่างไกลกันมาก แต่ในระยะยาวต้องมีการนำข้อมูลมาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกันกันอีกครั้ง 

ยันไทยปลอดภัยกัมมันตรังสี
            ศ.ดร.ชัยวัฒน์ ต่อสกุลแก้ว เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เปิดเผยว่า สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับแจ้งจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศได้ยืนยันมายังประเทศสมาชิกรวมทั้งประเทศไทย ว่า การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นั้นเกิดจากก๊าซไฮโดรเจนภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดย เกิดภายนอก และบริษัทเทปโกได้แจ้งว่าจะใช้มาตรการโดยนำน้ำทะเลผสมสารโบรอน เติมเข้าไปใน ตัวครอบชั้นตน เพื่อลดผลกระทบและความเสียหายของแท่งเชื้อเพลิงที่อยู่ภายใน จากนั้นเวลา 00.30 น. วันที่ 13 มี.ค. ตามเวลาในประเทศไทย สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ได้รับข้อมูลเพิ่มเติม จากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ถึงการประเมินการฟุ้งกระจายโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประมวลผลคาดการณ์ค่ากัมมันตภาพของวัสดุกัมมันตรังสีที่กระจายในบรรยากาศ ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง พบว่าการเคลื่อนที่ของวัสดุกัมมันตรังสีฟุ้งกระจายไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิค ไม่มีโอกาสที่จะฟุ้งกระจายมายังประเทศไทย 

อย่างไรก็ตาม สำนักงานฯ ได้เฝ้าระวังและติดตามข้อมูลจากสถานีเฝ้าระวังภัยทางรังสีของประเทศไทยที่มีอยู่ในทุกภาคของไทยตลอดเวลา ซึ่งล่าสุดผลการตรวจวัดระดับรังสีแกมมาในอากาศ ยังอยู่ในระดับปกติ และจะรายงานความคืบหน้าหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นจะรายงานให้ทราบเป็นระยะๆต่อไป 

สั่งเปิดสายด่วน1169ดูแลส่งออก
            นายฉัตรชัย ชูแก้ว ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยว่า นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ สั่งการให้กรมส่งเสริมการส่งออกเปิดสายด่วนฮอทไลน์ 1169 เพื่อช่วยแก้ปัญหาสำหรับผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากเหตุพิบัติภัยสึนามิ ประเทศญี่ปุ่นทั้ง อาทิ สินค้าตกค้างที่ท่าเรือ และสินค้าส่งออกไม่ได้ ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ที่ญี่ปุ่นให้เร่งตรวจสอบกรณีสินค้าตกค้างที่ท่าเรือญี่ปุ่น โดยขอให้ช่วยประสานงานแจ้งปัญหาไปยังสายเรือต่างๆ เพื่อช่วยตรวจสอบและเก็บรักษาสินค้าให้กับผู้ส่งออกอย่างปลอดภัย รวมทั้งขอให้ปรับแผนการส่งออกในระยะกลางและยาว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกในปี 54 นอกจากนี้ เตรียมขอความช่วยเหลือไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ผ่อนผันการชำระเงินกู้แก่ผู้ส่งออกตลาดญี่ปุ่น โดยให้ธนาคารต่างๆ อนุญาตให้เลื่อนกำหนดระยะเวลาตัดแพ็คกิง เครดิต จาก 4 เดือนเป็น 6 เดือน   

แบงค์ วงแคลช แถลงข่าวทวิต 

            ที่ชั้น 30 อาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่เพลส นายปรีติ บารมีอนันต์ หรือ แบงค์ วงแคลช ได้เปิดแถลงข่าวกรณีที่ไปทวิตข้อความในทวิตเตอร์ ถึงเหตุการณ์สึนามิถล่มญี่ปุ่นในลักษณะไม่เหมาะสมหลายข้อความ อาทิ “ทางการญี่ปุ่นกล่าวตอนนี้หงอคงผู้เฒ่าเต่า อุลตร้าแมน นินจาฮาโตริและโดเรมอนได้ประชุมข้อตกลงร่วมกันเพื่อความมั่นคงแห่งชาติญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว” “อิคคิวซังประกาศออกโปรดสัตว์ทุกพื้นที่ที่ประสบภัยทั่วญี่ปุ่น” “กลุ่มอัลกออิดะออกโรงปัดไม่มีส่วนในเหตุการณ์ครั้งนี้ เผยต้นตอมาจากก๊อตซิล่าตดแตกระหว่างเดินทางใต้น่านน้ำญี่ปุ่นห่างจากเมืองเซนได 10 KM” ซึ่งหลังจากโพสต์ข้อความไปแล้วก็มีกระแสต่อว่าถึงความไม่เหมาะสมดังกล่าวและนักร้องคนดังก็ถูกชาวเน็ตถล่มด่ายับ โดยทันทีที่ลงเครื่องบินจากการไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ จ.นครศรีธรรมราช นักร้องคนดังได้เดินทางเข้าตึกแกรมมี่ทันที่เพื่อเปิดแถลงข่าวดังกล่าว 

ยืดอกขอโทษ-ไม่เจตนาซ้ำเติม

            แบงค์ เปิดเผยว่า “ทวิตเตอร์ของผมจะออกมาเป็นแนวสนุก เอาไว้คุยกับแฟนคลับ เรื่องโพสต์ข้อความนั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะซ้ำเติมใคร เราแค่คิดว่าเดี๋ยวมันต้องเครียดแน่เลย แค่อยากให้ทุกคนผ่อนคลาย ก็ต้องยอมรับความผิดพลาด เราไม่คิดว่าจะมีคนเอาข้อความนี้ไปเผยแพร่สู่สาธารณชน มิหนำซ้ำยังทำให้แฟนเพลงของผมถูกต่อว่าอีก ฉะนั้นถ้าจะว่าอะไรให้ว่าผมคนเดียว วันนี้ที่ออกมาพูด เพราะทุกคนได้รับผลกระทบหมด แม้กระทั่งวงแคลชเอง พล มือกีต้าร์ (คชภัค ผลธนโชติ) ก็ติดต่อญาติที่ญี่ปุ่นไม่ได้เช่นกัน ผมเข้าใจในสถานการณ์และเห็นอกเห็นใจ ผมขอยอมรับข้อผิดพลาดทุกข้อกล่าวหา เป็นลูกผู้ชายก็ต้องยอมรับผิด ฝากขอโทษทุกคนด้วย ไม่ได้มีเจตนาจะซ้ำเติมใคร มันเกิดจากความซุกซนและทะเล้นทะลึ่งของผมกับแฟนคลับ ผมเสียใจกับการกระทำที่ไม่ได้ยั้งคิดครั้งนี้ และถ้าหน่วยงานไหนที่จะให้การช่วยเหลือญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นกระทรวงต่างประเทศหรือหน่วยงานใดก็ตาม ผมยินดีจะช่วยด้วย

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลี่นิวส์

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

กล้องวิดีโอโปรเจคเตอร์เครื่องแรกของโลก



โซนีกอดเก้าอี้ผู้นำด้านอุปกรณ์ถ่ายภาพ เปิดตัวกล้องวิดีโอที่สามารถทำงานเป็นโปรเจคเตอร์ในตัวเดียวกันเครื่องแรกของโลกในประเทศไทย หลังโชว์ตัวครั้งแรกที่งาน CES 2011 ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมหนุนกองทัพด้วยกล้องดิจิตอลคอมแพ็กต์ กล้องวิดีโอ 3 มิติ และกล้องบันทึกคลิปวิดีโอ 25 รุ่นลงตลาดครึ่งปีแรก
      

       นายเชิดพงศ์ ตันติพูนธรรม ผู้จัดการแผนกผลิตภัณฑ์ดิจิตอลอิมเมจิ้ง บริษัท โซนี ไทย จำกัด กล่าวว่า โซนีต้องการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านอุปกรณ์ถ่ายภาพในเมืองไทย เพื่อให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการณ์การใช้กล้องที่ไม่ซ้ำแบบใคร ในปีนี้สินค้ากลุ่มกล้องดิจิตอลของโซนีจึงเน้นไปที่ความแปลกใหม่, การบันทึกภาพความละเอียดสูงและรองรับการถ่ายภาพ 3มิติ
      
       "กล้องวิดีโอโปรเจคเตอร์ที่นำมาเปิดตัวในวันนี้ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย หลังจากมีการโชว์ตัวครั้งแรกในงาน CES 2011 ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยผู้ใช้งานสามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหว แล้วฉายภาพไปยังจอรับภาพได้ขนาดสูงสุด 60 นิ้ว อีกทั้งยังให้เสียงระดับสเตอริโอ 5.1 ชาแนล"
      

       สำหรับกล้องวิดีโอโปรเจคเตอร์รุ่น HDR-PJ50E นั้นใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Exmor R, เลนส์มุมกว้าง 29.8มม. ฮาร์ดดิสก์ความจุ 220กิกะไบต์ สามารถถ่ายภาพนิ่งความละเอียด 7.1ล้านพิกเซล นอกจากนี้ยังมีกล้องวิดีโอแฮนดีแคม HDR-TD10E ใช้เซนเซอร์ Full HD 2 ตัว สามารถบันทึกวิดีโอ 3 มิติ ที่ความละเอียด 1920x1080 และสามารถรับชมวิดีโอ 3 มิติได้จาก LCD ขนาด 3.5 นิ้วโดยไม่ใช้แว่น กล้องบันทึกคลิปวิดีโอ 3 มิติ Bloggie 3D และ Bloggie Duo กล้องบันทึกคลิปวิดีโอแบบ 2 หน้าจอ เพื่อการถ่ายภาพตัวเองได้ง่ายยยิ่งขึ้น
      
       ในส่วนของภาพรวมตลาดกล้องดิจิตอลคอมแพ็กต์ในปีนี้ นายเชิดพงศ์ กล่าวว่ามีการแข่งขันด้านของราคาค่อนข้างรุนแรง ตลาดกล้องอินเตอร์แบรนด์มีราคาเริ่มต้นที่ 1,990 บาท ในขณะที่ของโซนีมีราคาเริ่มต้นที่ 2,390 บาท แต่มีสเปค และความสามารถสูงกว่า โดยในปี 2011 บริษัทเตรียมวางจำหน่ายกล้องดิจิตอลคอมแพ็กต์ตระกูลไซเบอร์ช็อตทั้งหมด 15 รุ่น 5 ซีรีส์
      
       "สำหรับกล้องดิจิตอลคอมแพ็กต์ เราได้มีการเพิ่มความสามารถใหม่ลงไป ไม่ว่าจะเป็นความละเอียดภาพ 16.2 ล้านพิกเซล, ระบบถ่ายภาพ 3 มิติ, ฟังก์ชัน Background DeFocus หรือการถ่ายหน้าชัด หลังเบลอ, Soft Skin หรือถ่ายหน้าเนียน มีระบบ GPS ในตัว รวมถึงการถ่ายภาพพาโนราม่า มีการปรับความละเอียดของไฟล์วิดีโอให้มีความคมชัดสูงขึ้นเป็น AVCHD 1080i เป็น AVCHD 1080p"
      
       "ในปีที่ผ่านมาโซนีมียอดการเติบของกล้องดิจิตอลคอมแพ็กต์ในแง่ของยูนิตอยู่ที่ 10% มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 30% ซึ่งยังถือว่าเป็นเบอร์ 1 ในเมืองไทยอยู่" นายเชิดพงศ์กล่าว
      
       ในส่วนของกล้อง DSLR นั้นมียอดการเติบโตกว่า 100% เหตุผลหลักมาจากยอดจำหน่ายกล้องไร้กระจกตระกูล NEX ที่มีการเปิดตัวไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยโซนีสามารถทำยอดขายได้กว่า 12,000 ตัว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกล้องตระกูล A-Mount อย่าง Alpha A55 ที่ปัจจุบันยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค แม้จะมีการเพิ่มกำลังในการผลิตแล้วก็ตาม
      
       สำหรับกล้อง DSLR, เลนส์ E-Mount และ เลนส์ A-Mount ที่มีการเปิดตัวในต่างประเทศนั้น คาดว่าจะมีการนำมาเปิดตัวในประเทศไทยช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นรุ่นไหน และมีรายละเอียดอย่างไร

ขอบคุณ : manager.co.th

วันนี้ 8 มีนาฯ คุณหอมแก้มภรรยาแล้วหรือยัง?

Photos by Xinhua/Sovannara

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนเป็นประธาน มอบดอกไม้และหอมแก้ม "ท่านผู้หญิง" บุนรานี ในงานครบรอบปีที่ 100 วันสตรีสากล ซึ่งจัดขึ้นล่วงหน้า 1 วันในวันจันทร์ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา ในอาคารวิมานสันติภาพ (Peace Palace) ในทำเนียบรัฐบาล ขณะที่เทศบาลกรุงพนมเปญไม่อนุญาตให้ประชาชนจัดการชุมนุมใหญ่ในวันอังคารนี้ เพื่อร่วมกับชาวโลกเฉลิมฉลอง.



เอเอฟพี - ผู้จัดงานชุมนุมในกัมพูชา ระบุว่า ทางการกัมพูชาสั่งห้ามจัดงานชุมนุมครบรอบ 100 ปี วันสตรีสากล ในกรุงพนมเปญ วันนี้ (8 มี.ค.) ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับการปราบปรามการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีในประเทศ
      
       องค์กรเคลื่อนไหวสตรีกัมพูชา กล่าวว่า เทศบาลกรุงพนมเปญปฏิเสธคำขอของสหภาพการค้าและองค์กรที่จะจัดงานชุมนุมใหญ่ครบรอบ 100 ปีวันสตรีสากล ในเมืองหลวง โดยไม่ให้เหตุผลการสั่งห้ามจัดงานแต่อย่างใด
      
       นายฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้ใช้สิทธิอย่างเสรีในการชุมนุม และผู้หญิงต้องร่วมกันยืนยันสิทธิของตัวเองในประเทศเช่นที่กัมพูชา
     
       ทางด้านประธานองค์กรเคลื่อนไหวสตรีกัมพูชา กล่าวว่า การชุมนุมที่วางแผนไว้ไม่ได้มีจุดประสงค์ทางการเมือง เพียงแค่ต้องการจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่สตรี และว่า องค์กรจะจัดงานรวมตัวประมาณ 1,800 คน ในพื้นที่ของเอกชนชานกรุงพนมเปญแทน
      
       ในปี 2553 ที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาได้เปิดสวนสาธารณะที่ชื่อว่าสวนเสรีภาพในกรุงพนมเปญโดยออกแบบให้เป็นพื้นที่สำหรับใช้ในการชุมนุม แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า เป็นความพยายามกันผู้ประท้วงออกห่าง และใช้ในการปฏิเสธคำเรียกร้องขอจัดการชุมนุมในพื้นที่อื่นๆ ของเมือง.


หอมแก้มภรรยาแล้วยัง?








ขอบคุณ : manager.co.th

ชื่อโรงเรียนวัด


วัด' นอกจากเป็นที่พึ่งทางจิตใจยังเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ของชาวไทย นับตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ทั้งมีบทบาทสำคัญในการมอบความรู้ ขัดเกลาด้านจริยธรรมแก่ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาวิชาความรู้
       
       สังเกตได้ว่า 'พระสงฆ์' นั้นเปรียบดั่ง 'ครู' เฉกเช่นเดียวกัน 'วัด' ก็เปรียบดั่ง 'โรงเรียน'
      
       วัฒนธรรมการศึกษาไทยนั้นเริ่มจากวัด และวิถีที่ผูกพันอันยาวนานของทั้งสองสถาบัน ระหว่างวัดกับโรงเรียน ก็ยากที่จะแยกออกจากกัน
      
       สถาบันการศึกษาเป็นที่ที่ผลิตบุคลากรชั้นเลิศหลากหลายสาขาชีพ สำหรับในอดีต คนไทยเรียนรู้ทุกอย่างจากวัด และวัดก็ถือเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นโทรโข่งกระจายข่าวสารให้คนในชุมชนได้รับรู้
      
       แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปคล้ายเป็นช่องทางแยกความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างวัดและโรงเรียน วัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามาในสังคมไทยเริ่มครอบงำให้ชาวไทยมองข้ามวัฒนธรรมดั้งเดิมของ แนวคิดหัวก้าวหน้าจากคนบางกลุ่มเข้ามามีบทบาทในแผนการศึกษาของชาติ
      
       ปัจจุบันได้มีกรณีตัดคำว่า ‘วัด' ออกจากหน้าชื่อโรงเรียนที่มีมาแต่เดิม ซึ่งเป็นเรื่องฮิตในสารบบการศึกษาของไทย เพราะคิดว่า ‘วัด’ เป็นเป็นเรื่องล้าหลัง
      
       จนเกิดกรณีโรงเรียนวัดหลายแห่ง ตัดคำว่า 'วัด' ออกจากชื่อโรงเรียน เป็นเหตุให้มีกระแสวิพากษ์ว่าเป็นการลดบทบาทของวัด และเป็นช่องทางให้บุคคลที่หวังบ่อนทำลายสถาบันของชาติ และสถาบันพระพุทธศาสนา
      
       ทั้งนี้เมื่อผ่านกระบวนการพิจารณาจึงได้ข้อสรุปจากการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) มีมติว่าห้ามตัดคำว่าวัดออกจากชื่อของโรงเรียน ส่วนโรงเรียนใดดำเนินการตัดชื่อวัดออกไปแล้วก็ให้นำกลับมาใส่นำหน้าชื่อโรงเรียนเช่นเดิม


      
       ปฏิรูปการศึกษาครั้งแรก ‘วัด’ ยังเป็นศูนย์กลาง
       
       ราวรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้ปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ และจัดตั้งโรงเรียนสำหรับประชาชนแห่งแรก โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ที่ตั้งอยู่ในที่ธรณีสงฆ์
      
       หากย้อนกลับไปดูถึงประวัติศาสตร์ พระองค์มีพระราชดำริว่าอยากให้การศึกษาจัดขึ้นที่วัด เพราะมองว่าเกียรติภูมิของวัดและโรงเรียนควรจะไปด้วยกัน
       รศ. ดร. สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย้อนมองวัฒนธรรมการศึกษาของไทย เล่าถึงแหล่งประสานวิชาความรู้ครั้งอดีต ว่า
      
        “สภาพประวัติศาสตร์ของสังคมไทย เริ่มตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจวบจนรัตนโกสินทร์ วัดจัดเป็นศูนย์กลางของการศึกษา ในเชิงวัฒนธรรมในเรื่องอาชีพ รายได้ ในอดีตวัดมีหน้าที่หลักสามประการ คือ หนึ่ง เรื่องการอ่านหนังสือ อ่านออกเขียนได้ สอง สร้างอาชีพ เป็นศูนย์รวมด้านอาชีพ และสาม สั่งสอนให้เป็นคนดี เป็นพุทธมามะกะ ซึ่งประเทศไทยได้ใช้ศาสนาเป็นศูนย์กลางการศึกษาเพื่อต่อวัตถุประสงค์นี่มาโดยตลอด”
      
       สังคมการศึกษาถูกปฏิรูปครั้งใหญ่ ปรับเปลี่ยนจากวัดเข้าสู่โรงเรียนในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมุ่งยกระดับความรู้ชาวไทยให้เติบโตควบคู่สังคมโลก แต่ด้านบริบททางสังคมที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็กลืนการศึกษาในรูปแบบเดิม
      
       “พอมาถึงสมัยรัชการที่ 5 ประเทศไทยก็ต้องปรับสู่ยุคล่าอาณานิคม ปรับสู่การศึกษาในเชิงตะวันตก ทั้งระบบหลักสูตร การเรียนรู้ เครื่องแต่งกาย เพราะฉะนั้นโรงเรียนในความหมายของวัดก็เริ่มแยกออกไป ในเบื้องต้นโรงเรียนก็ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนวัด และเพื่อตอบโจทย์ในเรื่องของการหลุดพ้นทางด้านเป็นประเทศอาณานิคมจาก มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่หนึ่งจนถึงฉบับปัจจุบัน การศึกษามันก็ไปตอบระบบเศรษฐกิจ ตอบระบบตลาด แรงงาน การเมือง ฯลฯ แต่ตัวศาสนากลับเริ่มถอยห่างการศึกษาออกไป”
      
       ปัจจุบันวัดมีไว้เชิงสัญลักษณ์ การเรียนรู้จากวัดสามารถทำได้น้อยลง เพราะมีเรื่องพิธีกรรมเข้ามาเยอะ ด้านการเผยแผ่ และเข้าถึงคนรุ่นใหม่ก็น้อยลงตามลำดับ ในปัจจุบันโรงเรียนตั้งอยู่บริเวณวัดโดยกายภาพ แต่ในเรื่องหลักสูตร และวัฒนธรรมนั้นถูกแยกออก ไม่บูรณาการเชื่อมโยงกัน รศ. ดร. สมพงษ์ แสดงทัศนะว่า
      
       “สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือทางด้านการศึกษาของวัด มันมีการปรับโครงสร้างเชิงระบบ และทางการการเรียนรู้มันน้อย เพราะฉะนั้นวัดจึงมีไว้เชิงสัญลักษณ์ และทำหน้าที่แคบ คำว่า วัด ที่หลุดออกจาก โรงเรียน มันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เพราะว่าผู้บริหารกับครูปฏิเสธศาสนาอย่างชัดเจน เพราะต้องการพาโรงเรียนไปสู่นวัตกรรมโลกยุคใหม่ วัดก็เสมือนเป็นคำที่คร่ำครึ โบราณ ล้าสมัย จึงมีความพยายามที่จะเอาวัดออกไป”
      
       เกียรติภูมิของวัดกับชื่อโรงเรียน
      
       ด้าน ดร.อำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม เล่าถึงที่ไปที่มาของมติมหาเถรสมาคม เรื่องชื่อวัดในชื่อโรงเรียนว่า มาจากคณะอนุกรรมาธิการกิจการพระพุทธศาสนา สภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหนังสือมาที่มหาเถรฯ เพื่อให้รับทราบในเรื่องนี้ เช่นโรงเรียนวัดชิโนรส ก็ตัดชื่อเหลือเพียง โรงเรียนชิโนรส
      
       ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายเกียรติภูมิของวัดที่ดูแลและให้การอุปถัมภ์โรงเรียนมา เพราะต้องยอมรับว่าโรงเรียนเกือบทั่วประเทศไทย ก็มีที่มาจากวัด สังเกตได้จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งพบว่า มีโรงเรียนนำหน้าชื่อด้วยวัดมากกว่า 200,000 โรง
      
       "เดิมก็มีอยู่วัดนำหน้าทั้งนั้น แต่พออยู่ไปอยู่มาก็ตัดคำว่าวัดออก ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา เช่น ใส่ชื่อวัดแล้วมันเชย ดูแล้วไม่เหมาะสม แต่พอสืบไปสมัยเดิมๆ ก็พบว่าวัดยกที่ให้สร้างโรงเรียน เพื่อสาธารณประโยชน์ เพื่อการศึกษา รวมทั้งอุปถัมภ์ในเรื่องงบประมาณ หาเงินหาทองมาช่วย ซึ่งหากย้อนกลับไปสมัยเก่าๆ ที่ดินก็ไม่มีเอกสารสิทธิ บางโรงเรียนก็เลยเอาไปออกโฉนดเป็นที่ราชพัสดุ มันก็เลยเป็นเรื่องเป็นราว
      
        “แต่สมัยนี้ไม่มีแล้ว เพราะมีการออกเอกสารสิทธิชัดเจน จากปัญหาทั้งหมดนี้ บางคนก็เลยมาในแง่เกียรติภูมิว่า วัดก็เคยช่วยเหลือโรงเรียน อย่างบางแห่งก็ไม่เคยจ่ายค่าเช่าเลย เพราะถือว่าอยู่ด้วยกันมาตลอด แต่ทำไมต้องมาตัดชื่อวัดออก เพราะฉะนั้นจึงอยากให้คนที่รับผิดชอบตรงนี้คิดถึงเรื่องนี้ด้วย"
      
       อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ออกมานี้ ก็ไม่ถือเป็นการบังคับว่าทุกแห่งต้องปฏิบัติตาม เพราะบางแห่งก็มีปัญหาจริงๆ เช่น โรงเรียนที่ไม่ได้อยู่ตั้งแต่ต้น หรือบางโรงก็มีทั้งโรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนมัธยมศึกษา ซึ่งสังกัดอยู่คนละหน่วยงาน ดังนั้นก็เลยตัดคำว่าวัดออกจากโรงเรียนมัธยมฯ เพื่อให้แบ่งแยกกันเด็ดขาด ซึ่งตรงนี้ก็ถือเป็นเหตุผลที่รับได้ และทางมหาเถรสมาคมเองก็ไม่มีปัญหา
      
       ทั้งนี้ ดร.อำนาจ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่าการเรียนการสอนของโรงเรียนก็ไม่ควรจะมุ่งเน้นแต่ทางด้านวิชาการเท่านั้น ควรจะมีเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมให้เด็กด้วย
      
       เด็กไทยไม่แคร์ มีวัดนำหน้าหรือไม่มี
       
       ครั้นมาสอบถาม ธีรพัฒน์ ลิ้มโสภิตพรรณ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทพศิรินทร์ เขาให้ความคิดเห็นว่า
      
       “ผมเฉยๆ เลยนะครับว่าจะมีคำว่าวัดอยู่หน้าชื่อหรือไม่ เพราะโรงเรียนของเรา ก็เป็นโรงเรียนของเราอยู่ดี ไม่ได้รู้สึกว่าแตกต่างกันอย่างไร จะบอกว่ามันทำให้ใครรู้สึกภูมิใจขึ้นหรือสูญเสียเอกลักษณ์อะไรไปหรือไม่ ผมเชื่อว่าคนที่เรียนในโรงเรียนอื่นๆ ก็รู้สึกเหมือนกัน อย่างพวกโรงเรียนคริสต์ ยังมีคำว่าคอนแวนต์ ที่แปลได้ว่าเป็นโรงเรียนวัดเหมือนกัน”
      
       ฝ่ายอาจารย์พิเศษโรงเรียนมัธยมวัดสุธิวราราม ก็ให้ความเห็นในทำนองที่ว่า การตัดคำว่าวัดหน้าชื่อโรงเรียนนั้น มันเป็นเรื่องของวิจารณญาณส่วนบุคคลที่อาจคิดต่างกันได้ การเปลี่ยนเป็นชื่อไหนอย่างไรก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน
      
       สุดท้ายได้ไปถามความเห็นของพระรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นวัดหลวงขนาดใหญ่ และมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นโรงเรียนที่มีคำว่าวัดนำหน้าชื่อ
      
       “ความเห็นของอาตมาเอาไปเป็นตัวแทนพระทั้งหมดคงไม่ได้ แต่สำหรับอาตมาเองแล้ว อาตมาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้นัก เพราะชื่อมันเป็นเรื่องที่เรากำหนดขึ้นเอง เช่น ไม่ว่าเราจะเรียกของสิ่งนี้ (ชี้ไปที่กระดาษชำระ) ว่าทิชชู่ หรือกระดาษชำระ สุดท้ายมันก็ทำหน้าที่ของมันอย่างเดิม”
      
       ………
      
       เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงมุมมองก็เปลี่ยนตาม แต่สิ่งที่หนึ่งที่สถาบันการศึกษาจะตัดออกเสียไม่ได้ นั้นก็คือ 'จริยธรรมและคุณธรรม' ที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ซึ่งวัดจะเป็นจุดสำคัญในการกล่อมเกลาจิตใจทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้โรงเรียนจะมีชื่อวัดนำหน้าหรือไม่ก็ตาม...


ขอบคุณ : manager.co.th

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

ขมรอ้างนายกฯลาวบอกกัมพูชาเหยื่อไทย


 


ขมรอ้างนายกฯลาวบอกกัมพูชาเหยื่อไทย (ไอเอ็นเอ็น)

นายกฯลาว เข้าข้างกัมพูชา บอกตกเป็นเหยื่อของประเทศไทย ด้านฮุน เซน ฟ้องยับการรุกรานคือแผนของผู้นำไทย ยันเจรจาพหุพาคีเท่านั้น

เว็บไซต์ ฟิฟทีนมูฟ อ้างการรายงานจากสำนักข่าวกัมพูชา ของรัฐบาลกัมพูชา วันที่ 7 มีนาคม เกี่ยวกับการเดินทางเยือนกัมพูชาของ นายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ 7 - 8 มีนาคม นี้ โดยสำนักข่าวกัมพูชาระบุว่า นายทองสิง ยอมรับว่า "กัมพูชาเป็นเหยื่อของวิกฤติภายในของประเทศไทย" ขณะที่รัฐบาลลาวติดตามสถานการณ์กัมพูชา-ไทย อย่างใกล้ชิด

ด้าน นายเขียว กันหะริด รัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารกัมพูชา กล่าวระหว่างการแถลงข่าววันนี้ (7) หลังการพบหารือทวิภาคีระหว่าง นายทองสิง ทำมะวง และ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยนายเขียว ระบุว่า นายทองสิง ยกย่องรัฐบาลกัมพูชา ที่มีจุดยืนเดียว และเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และมาตรฐานสากล ซึ่งทำให้ได้รับการสนับสนุนจากประชาคมนานาชาติ

อย่างไรก็ตาม ลาวจะทำอย่างดีที่สุด เพื่อช่วยลดสถานการณ์กัมพูชา และ ไทย

ขณะที่สมเด็จฮุน เซน ได้กล่าวกับนายทองสิง ว่า การรุกรานของไทยบนดินแดนกัมพูชา ไม่ได้เกิดโดยบังเอิญแต่เป็นแผนของผู้นำระดับสูงของไทย "กัมพูชาไม่ต้องการก่อสงครามกับประเทศใด แต่มันเป็นพันธกิจที่กัมพูชาจำเป็นต้องตอบโต้การรุกรานนี้" พร้อมกล่าวย้ำว่า หลักการของกัมพูชาคือการเจรจา "พหุภาคี" กับประเทศไทยในเรื่องพิพาทชายแดน แต่จะเจรจาทวิภาคีกับไทย เพียงเรื่องเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และอื่น ๆ เท่านั่น

นอกจากนี้ นายเขียว ยังเปิดเผยว่า สมเด็จฮุน เซน ตอบรับคำเชิญไปเยือนลาวอย่างเป็นทางการ ในโอกาสที่เหมาะสม

ขอบคุณ : kapook.com