วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฉันเก็บของมีค่าได้...จากกระแสน้ำไหล!

ฉันเก็บของมีค่าได้จากกระแสน้ำไหล

ถ้าเป็นของใครกรุณามาแสดงหลักฐาน





เธอที่รักทุกคน ขณะนี้น้ำท่วมเต็มตลิ่งมานานมากแล้วต่างก็เดือดร้อนหนัก เพราะคิดว่าตัวเองก็คงอยู่ต่อไปได้ยาก แล้วในที่สุดก็คงต้องจมน้ำตาย หรือไม่ก็ประสบกับความเสียหายอย่างหนัก ทั้งนี้เพราะกระแสน้ำมันไหลแรงยิ่งขึ้นทุกที จนกระทั่งทำให้อาคารบ้านเรือนซึ่งเป็นของท้องถิ่นจะต้องพังทลายเสียหายไปในที่สุด

เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายคนจำต้องนั่งกอดเข่าด้วยความรู้สึกเป็นทุกข์เพิ่มมากยิ่งขึ้น

ความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่บนโลกใบนี้ ต่างก็ให้โอกาสแก่มนุษย์ ในการนำไปสู่วิถีทางที่สร้างสรรค์ แต่คนเรานั้นมักมีแนวโน้มมองปัญหาต่างๆ ด้วยความทุกข์ร้อน โดยไม่สามารถใช้ปัญญาตนเองให้บังเกิดเงื่อนไขที่มีความสุขได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ

บางคนถึงกับคิดในด้านดีว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ถ้าเรามีแต่การมอบให้ซึ่งกันและกัน ย่อมช่วยให้ทุกคนมองเห็นความดีของสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

แม้แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ที่มันเกิดขึ้นและมีผลทำให้สังคมไทยจำต้องพบกับความเสียหายอย่างหนัก

เหตุไฉนตัวเธอเองมองสิ่งต่างๆ ในด้านดีไม่เป็น แม้แต่เรื่องดวงตราของกรมไปรษณีย์ รวมทั้งดวงตราที่ติดอยู่หน้าศาลยุติธรรมเป็นรูปตาชั่ง ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่บ่งบอกถึงความยุติธรรมในสังคมไทยเช่นนี้เป็นต้น

“เมื่อไม่รู้สิ่งนี้ก็ย่อมปฏิเสธที่จะรู้สิ่งนั้น” ดังนั้น ถ้าไม่รู้สึกเจ็บปวดเพราะกระแสน้ำท่วมว่ามันเป็นผลดีแก่การคิดแก้ไขปัญหาที่ปรากฏออกมาในสังคมปัจจุบัน ดังนั้น ถ้ามองเห็นปัญหาอื่นใดก็ตามที่มันคัดค้านกันเองแบบนี้ จึงเท่ากับว่าให้คนที่รู้เท่าทันหันไปคิดอีกด้านหนึ่ง

ดังนั้น ถ้าด้านหนึ่งเสียหายหนัก อีกด้านหนึ่งก็ย่อมดีขึ้น แม้แต่เหตุการณ์น้ำท่วมที่มันทำให้คนไทยจำต้องเผชิญกับความทุกข์ ในที่สุดคนที่เผชิญกับสภาพดังกล่าวก็จำต้องหวนกลับมาแลเห็นว่า ในที่สุดทุกคนก็ต้องพบกับความสุขได้จากการนำปฏิบัติโดยไม่รู้สึกว่ามันยากหรือเปล่า

ฉันอยากจะสรุปให้เธอฟังในเรื่องดังกล่าว เช่นว่า

ถ้าเธอพบว่าด้านหนึ่งเบากว่าอีกด้านหนึ่ง เธอย่อมนำมาใช้แก้ไขปัญหาในสังคมได้ไม่ยาก

ถ้าน้ำมันมาแรงก็ย่อมช่วยให้สภาพภายในสังคมมันดียิ่งขึ้น

เหมือนอย่างกับที่พูดฝากไว้ว่า “การจะรู้เธอค่าของสีขาว ตัวเองจะต้องสนใจเรียนรู้จากสีดำไปก่อน”

เพราะฉะนั้นถ้าเธออยากเรียนรู้สีขาว เราก็ต้องกล้าเผชิญกับสีดำ ถ้าต้องการความสบายเราก็ต้องเรียนรู้จากความยากลำบาก

ฉันเชื่อว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายหลายอย่าง ที่สะท้อนผลให้เธอนำไปคิดค้นคว้าหาความจริงได้จากปัญหาน้ำท่วม

เวลานี้คนหนีความยากลำบากไปเข้าวัด คนเหล่านี้น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่เคยรู้เธอค่าของความยากลำบากมาแต่อดีต

การที่ฉันนำเรื่องนี้หยิบยกมาพูด ก็เพราะตัวเองได้ผ่านความยากลำบากมาจนกระทั่งรู้สึกว่า มันน่าสนใจที่เราจะก้าวเข้าไปหามันทุกเรื่อง

หลักธรรมท่านก็ได้ชี้ไว้แล้วว่า “วิถีการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏอยู่บนโลกใบนี้นั้น มีการหมุนวนเป็นวัฏจักร เพราะฉะนั้นถ้าต้องการพบความสุขที่แท้จริง เหตุไฉนจึงกลัวความทุกข์ถึงขนาดหนีไปเข้าวัด”

ฟังแล้วทำให้ฉันรู้สึกสงสารเป็นอย่างยิ่ง หันมามองดูด้านหลังซิเธอ ว่า “คนที่เขาเคารพเราจากใจจริงนั้นเขากำลังยกมือไหว้อยู่ด้านหลังโดยไม่จำเป็นต้องให้เธอเห็น”

แม้แต่เพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ชื่อความฝันอันสูงสุดก็ยังมีเนื้อร้องตอนหนึ่งว่า “ให้ปิดทองหลังพระ”

เมื่อพูดถึงหลักธรรม แท้จริงแล้วมันอยู่ใกล้ๆ จิตใจเธอเองนั่นแหละ ถ้ารู้จักหวนกลับมาค้นหาด้านหลังให้ได้ เธอก็คงจะพบความสวยงามน่าประทับใจรออยู่ด้านหน้า

ถ้าฉันจะขออนุญาตพูดว่า หากต้องการแก้ปัญหาชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ ก็ต้องหันไปคิดแก่ไขในชนบท

ถ้าเธอเห็นว่าบ้านนี้เมืองนี้มันมีสีดำ เธอก็ควรหวนกลับมาทำให้จิตใจเธอเองเป็นสีขาวให้ได้

ถ้าเธอต้องการแก้ไขปัญหาความร้อน เธอก็ควรสร้างสมความเย็นขึ้นในใจเธอเอง และนี่เธอกำลังแก้ปัญหาน้ำท่วม หากเธอไม่หวนกลับมาคิดแก้ไขกระแสน้ำที่มันอยู่ในใจเธอเองให้ปรับเปลี่ยนมาเป็นน้ำเย็นเพื่อมอบให้เพื่อนมนุษย์ น้ำที่อยู่ภายนอกมันก็คงจะเย็นได้ยาก

ไหนว่าบ้านนี้เมืองนี้มีแต่คนยิ้มแย้ม แต่ถ้าใจเธอมันยิ้มไม่ออกแล้วใครเขาจะมาคบเธอเป็นมิตร

คนทุกวันนี้ส่วนใหญ่มีใจร้อนรน เพราะความไม่รู้จักพอเพียง หลังจากได้เท่านี้ก็จะเอาเท่านั้น หลังจากได้เท่านั้นก็จะเอาเท่าโน้นต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักหยุดคิด เพื่อให้จิตใจมันสงบเย็นได้แล้ว เธอจะไปมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ยังไงกัน ทั้งนี้เพราะความอดทนที่อยู่ในใจเธอเองมันก็ไม่มี กระทั่งพบน้ำท่วมแล้วเกิดความทุกข์หนักก็วิ่งหนีความทุกข์เข้าไปอาศัยวัดเป็นเครื่องดับทุกข์โดยไม่คิดด้วยสติว่า การดับทุกข์นั้นอยู่ที่ไหนก็ดับได้ ยิ่งพบน้ำท่วมหนักก็ควรรู้สึกท้าทายที่ลุกขึ้นมายืนดับทุกข์ตรงนั้นให้ได้

นี่แหละที่เขาว่า “มนุษย์ควรเรียนรู้จากของจริง”
มาลีสีเริ่มเปลี่ยนเป็นเหลือง  
เหลือบสีทองรองเรือง
อันเนื่องมาจากดวงตะวัน  
หมู่วิหกต่างร้องระงม  
ระดมจับฝูงสูงลิบ
โผผินบินกลับไปสู่รัง
ผ่านไปสู่ยังฝรั่งคงคาวารี


ระพี สาคริก

19 พฤศจิกายน 2554


ขอบคุณ : http://rapee.org

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พ.ร.ฎ.อภัยโทษ

"พ.ร.ฎ.อภัยโทษ"
จากข่าวหลังมติครม.ออกมา มีเรื่องราวไม่ชอบมาพากล
ที่ต้องการจะผลักดันบางสิ่งออกมาให้ถูกต้องตามกฏหมาย
ซึ่งแย้งกับความรู้สึกของประชาชน ที่สิ้นหวัง เอือมระอา และเบื่อหน่าย
กับความขัดแย้งเพราะคนๆ เดียวจนสุ่มเสี่ยงให้เกิดวิกฤติขึ้นอีกครั้ง

 "การออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ" 
ลำดับเหตุการณ์ คร่าวๆ จากแหล่งข่าวในวงครม.คือ
หลังจากประชุมเรื่องปกติเสร็จมีการสั่งให้ เจ้าหน้าที่ออกไปจากห้องประชุม
และจากนั้น มีมติลับ ผ่าน พรฎ.อภัยโทษ 2554 ฉบับพิสดารเป็นพิเศษ
แตกต่างในเนื้อหาสาระ จากปีก่อน คือ

1.แก้ให้ "นักโทษ" อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป รับอภัยโทษได้
2.แก้ให้ "นักโทษ" ที่ต้องโทษไม่เกิน 3 ปี รับอภัยโทษได้
3.แก้ให้ "นักโทษ" ที่ต้องโทษคดีคอร์รัปชั่น และยาเสพติด รับอภัยโทษได้
4.แก้ให้ "นักโทษ" ที่ไม่เคยเข้ามารับโทษ ติดคุกใดๆ รับอภัยโทษได้

ทั้ง 4 ข้อหลักๆ นี้แหล่งข่าวแจ้งว่า เป็นสิ่งหลักที่ ครม.เมื่อวานมีการแก้ไข
ให้แตกต่างไปจาก ร่างปกติ ของปีก่อน ซึ่งชัดเจนว่า "ใคร" ได้ประโยชน์ !!!


ข้อสังเกต ของสิ่งพิรุธ พิลึก และพิสดาร
1.นายกฯ จงใจไม่เข้าประชุม ครม.โดยอ้าง เฮลิคอปเตอร์
>>> 1 - ทหารแจ้งว่า ยังไงก็กลับได้ - สำนักนายกฯ ส่งหนังสือขอค้างเอง
2.การประชุมมีลักษณะ "ลับ" ผิดปกติ และหลังประชุม ครม.ร่วมกันปิดข่าว
>>> 2 - สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เรื่องนี้ พิจารณาได้อย่างเปิดเผย เพราะไม่มีสิ่งซ่อนเร้น
3.มีการจงใจกดดัน ให้กระทบหลายภาคส่วน แต่..
>>> 3-ตามรัฐธรรมนูญ การพระราชทานอภัยโทษเป็นพระราชอำนาจ แต่ในทางปฏิบัติมาจากฝ่ายบริหาร
4.ประเด็น ขั้นตอนคณะกรรมการกฤษฎีกา
>>> 4-ตอนนี้ขั้นตอนอยู่ที่คกก.กฤษฎีกา แต่ถ้ารัฐบาลบอกว่าเป็นนโยบายรัฐบาล กฤษฎีกาก็จะผ่านให้ได้อยู่ดี


สำหรับเรื่องนี้ "พรรคประชาธิปัตย์" ได้ประชุมครม.เงาในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที ได้ข้อสรุปว่า..
1. มอบหมายให้ประธานวิปฝ่ายค้าน ดำเนินการตั้งกระทู้สด สอบถามรัฐบาล
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 17 พ.ย. เพื่อให้รัฐบาลชี้แจงว่า
"มีการดำเนินการจริงตามที่ปรากฎเป็นข่าว หรือไม่ อย่างไร.." และนอกจากนี้
2. ทางพรรคประชาธิปัตย์ ได้สั่งการให้ทีมกฏหมายเร่งหาแนวทางการต่อสู้เรื่องนี้โดยด่วน
และจะมีการแจ้งรายละเอียดในสาธารณชนทราบในแนวทางนั้น ต่อไป..

ทั้งนี้ ประเด็น น้ำท่วม และงบฟื้นฟูของรัฐบาล ก็จะไม่ถูกเพิกเฉย เบี่ยงเบนความสนใจไปจากการทำงาน
ของฝ่ายค้าน และการช่วยเหลือผู้ประสบภัย "ศูนย์อาสาฯคนไทย ช่วยน้ำท่วม" จะยังคงเป็นหลัก
ในการดูแลต่อไป ตามปกติครับ


ขอบคุณ ข้อมูล InfoGraphic จาก PostToday

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ปริมาณน้ำ คำถามที่ยังไม่ได้ตอบ

ความลี้ลับของปริมาณน้ำ คำถามที่ยังไม่ได้ตอบ โดย สมศรี หาญอนันทสุข

มรสุมหลายลูกที่พัดผ่านประเทศไทยเมื่อประมาณ3เดือนที่ ผ่านมา ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ทางภัยธรรมชาติที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติ ไทย และอาจเทียบชั้นระดับโลกได้เลย วันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักประเทศไทยแล้ว โดยเฉพาะคนในประเทศแล้งๆแถวแอฟริกา คงนั่งอิจฉา ประเทศบ้าที่ไหนนะะมีน้ำเยอะขนาดเลี้ยงคนเกือบทั้งแอฟริกาได้เลย  คนสร้างหนังฮอลลีวูดเรื่อง THE DAY AFTER TOMORROW คงนั่งตบหัวตัวเองด้วยความเสียดาย ถ้าน้ำท่วมประเทศไทยเร็วกว่านี้สัก 23ปี คงไม่ต้องเสียเงินค่าทำEFFECTให้เปลืองเงินเสียเปล่า

ครานี้เราก็ลองมาตั้งคำถามกันเล่นๆแบบคนไม่มีความรู้อะไรว่า น้ำนั้นมันรวมตัวไหลมาสู่ภาคกลางได้มากมายมหาศาลขนาดนั้นได้อย่างไร เป็นน้ำมือของธรรมชาติล้วนๆหรือน้ำมือคนประสมโรง หรือเป็นน้ำมือคนแล้วธรรมชาติประสมโรง  ลองย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา  กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีสัญญาณเตือนภัยแล้วว่าพายุจะถล่มภาคเหนือและภาค อีสานอย่างแน่นอนดังนี้

พายุนกเตน เมื่อเวลา 05.00 น. วันนี้ (30 ก.ค.54) พายุโซนร้อน “นกเตน” (NOCK-TEN) บริเวณชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะไหหลำ ประเทศจีน หรือที่ละติจูด 19.4 องศาเหนือ ลองจิจูด 108.5 องศาตะวันออก มีความ เร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


ผู้เขียนได้ฟังข่าวกรอกหูทุกวันในเรื่องพายุและน้ำ  รู้สึกได้เลยว่าปีนี้จะมีน้ำฝนมากผิดปกติเนื่องจากได้ไปสังเกตการณ์การเลือก ตั้งใหม่ (re-election) ที่หนองคาย (หลังการเลือกตั้งใหญ่)      ท่ามกลางฝนตกทั้งวัน และน้ำท่วมตัวเมืองหนองคายอย่างไม่เคยมีมาก่อน (ตามคำบอกของคนขับรถ)  รถยนตร์จำนวนมากเริ่มมาจอดที่ถนน และรถที่นั่งก็ลุยน้ำไปยังหน่วยเลือกตั้งต่างๆ บางหน่วยมีคนมาเลงคะแนนน้อยมาก

จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลา 3 เดือน เราต้องฟังข่าวน้ำท่วมมาตลอด ข่าวจริงและข่าวปิดบ้าง โดยหวังว่าเราจะมีมาตรการในการผันน้ำลงแม่น้ำ คูคลอง หรือแก้มลิง ด้วยความรู้ความสามารถพื้นๆ ตั้งแต่แรก  ต่อให้ไม่ต้องพึ่งการกักเก็บ ปิดเปิดน้ำจากเขื่อนก็ตาม มวลน้ำก็ไม่น่าจะเหลือให้ไหลเข้าภาคกลางและเข้ากรุงเทพฯ ได้ทหาศาลขนาดนั้น เพราะมันน่าจะถูกพร่องออกไปตามลำดับระยะวันเวลา และระยะทาง และหากมีการพร่องน้ำในจุดต่างๆช่วยด้วยแล้ว  ก็แทบจะไม่เหลือเข้ากรุงเทพฯ มหาศาลขนาดนั้น (ดูทะเลดอนเมือง และวิภาวดี เป็นต้น)     เหตุใดความรุนแรงของพายุกับความเสียหายมันช่างไม่สอดคล้องกันเลย  

สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้และตนเองต้องตกเป็นผู้สูญเสียด้วยคนหนึ่งนั้น ก็คือ เมื่อเหตุเกิดในภาคเหนือและอีสาน จังหวัดแล้ว จังหวัดเล่า  รัฐบาลซึ่งมีนักการเมืองรุ่นเก่าและแก่ผู้ที่มีประสบการณ์มากมายกับข้า ราชการใกล้เกษียณอีกมาก ยกเว้นนายกฯยิ่งลักษณ์ที่เป็นมือใหม่หัดขับ แต่คงไม่ใช่มือใหม่หัดขับทั้งหมดเป็นแน่ แล้วรัฐบาล ข้าราชการการเมืองกับข้าราชการประจำที่รับผิดชอบมัวทำอะไรอยู่


 เอาล่ะ คงไม่มีใครในรัฐบาลสบายใจที่จะตอบคำถามนี้  แต่หากมองระยะเวลาที่รัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศประกอบกับรัฐมนตรีจากพรรคร่วม รัฐบาลที่ดูแลกรมชลประทาน  ก็มาจากรัฐบาลชุดเก่าและคลุกคลีกับเรื่องนี้มานาน รัฐบาลจึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบส่วนหนึ่งได้

หากประเทศเรามีรัฐบาลมืออาชีพ หัวหน้ารัฐบาลคงเปิดโต๊ะประชุมแต่เนิ่นๆ เรียกบรรดารัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นเขตเสี่ยง ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง มานั่งมองหน้ากันและคุยกันให้เป็นภาษาเดียวกัน ถ้าน้ำในเขื่อนเต็มมาตั้งแต่รัฐบาลชุดเก่า รัฐบาลในฐานะผู้บริหารประเทศก็สั่งให้ทะยอยปล่อยน้ำเพื่อรองรับน้ำฝนแต่ เนิ่นๆได้


ถามต่อว่าเวลาสามเดือน ไม่เพียงพอกับการเตรียมการป้องกันน้ำหลากเข้าจังหวัดอื่นๆได้อย่างไร หรือไม่มีความพยายามเพียงพอ  หรือไม่มีมาตรการใหม่ๆ หรือไม่มีเวลาสั่งการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ ความเสียหายของภาคอุตสาหกรรมจึงมากมายนับแสนล้าน

สื่งที่นักลงทุนญี่ปุ่นเอง ได้เปรียบเปรยว่า  ญี่ปุ่นประสบมหาตภัย สึนามิ ยังพออธิบายได้ว่า มันมากระทันหัน โจมตีครั้งเดียวจอด ตั้งตัวไม่ทัน  และโดนภัยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ด้วย สุดที่จะตั้งรับได้  


แต่ญี่ปุ่นตั้งคำถามกับไทยว่า ภัยน้ำครั้งนี้มีการเตือนภัยหลายครั้งและน้ำค่อยๆมา เพื่อให้เราได้เตรียมตัว  ทำไมยังทำให้อยุธยา ปทุมธานี จมน้ำขนาดนั้น 

ที่น่าตกใจมากกว่านั้น ก็คือ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ซึ่งญี่ปุ่นเชื่อว่า รัฐบาลไทยจะช่วยป้องกันให้ได้ ตามที่คุยไว้ ถึงที่สุดก็จมน้ำ  เจ้าของโรงงานเลยไม่ได้เตรียมอพยพเครื่องจักร เป็นเพราะนายกเชื่อแต่นักวิชาการฝ่ายตน ประกอบกับตนเองก็ยังต้องเรียนรู้อีกแยอะ พอเอาเข้าจริง รมต.หลายคนในพรรคเดียวกันถึงกับช็อก และต้องกอดคอญี่ปุ่นร้องไห้กันใหญ่ ไม่ใช่เพียงที่เห็นทางข่าวเท่านั้น เพราะเราไม่ได้นับการสูญเสียโอกาส ที่ทำท่าว่า อาจถึงกับทำให้ ทุนนิยมในไทยจะเสียหาย ล่มสลาย หรืออ่อนตัวเร็วไปหรือเปล่า

การตั้งรับของ ทาง กทม. ซึ่งเหมือนขานรับวิธีการแก้ปัญหาน้ำตามรัฐบาล แบบเดิมๆ เหมือนปล่อยเลยตามเลย เดินตามน้ำ โดยไม่มีนโยบายเชิงรุก  ไม่มีวิธีการใหม่ๆ ไม่สรุปบทเรียนจากจังหวัดอื่น เลยทำให้ กทม. เสียหายย่อยยับไปด้วย  แน่นอน ท่านอาจอ้างได้ว่านายกฯ เป็นผู้สั่งให้เปิดประตูน้ำ 7 ประตู  เพื่อให้น้ำผ่านจึงทำกทม.ท่วม  แต่ท่านทั้งหลายย่อมคัดค้านได้มิใช่หรือ เรื่องมหันตภัยระดับชาติและความเสียหายต่อนักลงทุนต่างชาติเช่นนี้ มันต้องยอมแตกหักกันเลย ใช่หรือไม่ หรือเราประเมินความเสียหายต่ำไปเสมอ


เพราะคนใหม่ที่ไม่มีความรู้ในเรื่องน้ำ และภัยพิบัติมาก่อน  แต่ ผู้ว่า กทม.เป็นนักการเมืองเก่า  ย่อมรู้สถานการณ์ดี เหตุใดจึงไม่คิดที่จะระดมคนจิตอาสาทั้ง กทม.สร้าง "มหกรรมแก้ปัญหาน้ำท่วม"  ทำทางน้ำไหล (water way) ให้คนทั่วไปมีส่วนร่วมทั้งที่เขาอยากจะช่วยกันอยู่แล้ว หรือเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิผลมากกว่านี้ โดยไม่หวังพึ่งแต่ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายตนเท่านั้น

เพราะเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้ ภาคประชาสังคมและนักวิชาการต้องออกมามีบทบาทด้วยตนเอง ไม่เพียงแต่เป็นที่พึ่งในเรื่องข้อมูล และการวิเคราะห์ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างน่าฟัง  แต่พวกเขาได้ออกแถลงการณ์มาเสนอให้รัฐบาลแล้วว่า  ให้ใช้พวกเขาให้เป็นประโยชน์  แต่ถึงขณะนี้ก็ไม่มีการทาบทาม หรือเป็นเพราะไม่ไว้ใจ  ไม่มีใครทราบได้   ภาคประชาสังคมจึงหันไปช่วยประชาชนด้วยตัวเอง และช่วยเหลือชาวบ้านร่วมกับบรรดาจิตอาสาจำนวนมาก ระดมความคิด ความช่วยเหลือประชาชนอย่างแข็งขัน  


บางส่วนยังถูกนักการเมืองท้องถิ่นที่มี สส.หนุนหลัง ทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำงานของพวกเขาในหลายพื้นที่  เป็นเรื่องน่าสังเวชที่ต้องบอกกันตรงๆว่า  นักการเมืองหลายคน ไม่อยากให้องค์กรพัฒนาเอกชน หรือสื่อประชาชนเข้าช่วยเหลือในจังหวัดนั้นๆ เพราะนักการเมืองต้องการให้น้ำท่วม และประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยจะได้มีงบเข้ามาในจังหวัด จะได้มีเงินกระเส็นกระสายเข้ากระเป๋าตนเองบ้างหรือเอาเงินไปแจกจ่ายเพื่อ ช่วยสร้างคะแนนนิยมให้ตนเองบ้าง

ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งและแสดงทัศนะในนามคนไทยที่ต้องการทราบข้อเท็จ จริง หายนะภัยครั้งนี้มันมากเกินกว่าที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบได้  พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมต้องทบทวนตัวเองอย่างมาก  แทนที่จะมัวมาชมกันเอง ให้กำลังใจกันเองเพื่อให้งบประมาณผ่านสภา พรรคจำเป็นต้องทบทวน เพื่อปรับครม. โดยไม่เกรงใจว่าอาจจะต้องลดบทบาทนายกฯลงด้วย   เพื่อให้ยืดเวลาของการเรียนรู้ให้กับเธอมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งรองนายก หรือ รมต.กระทรวงที่เธอถนัดจะดีกว่า  และการเปลี่ยนแปลงตามที่คนในพรรคเดียวกันเสนอนั้น ก็จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบ ต่อสาธารณชน โดยที่พรรคไม่ได้เสียอะไร 


 เรื่องนี้คุณทักษิณเอง ก็ต้องยอมรับความจริง หากคนในพรรคยังมีคนเก่งที่สามารถกอบกู้ประเทศได้ ก็ต้องยอมให้เขาแสดงฝีมือกันตามความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนใหม่หรือชายแกร่งคนไหนในพรรคก็ตาม


บรรดาแม่ยกของพรรค หรือเสื้อสีต่างๆก็เช่นกัน ควรจะเรียนรู้การใช้เหตุและผลจากความเสียหายครั้งนี้  รู้จักรักตัวเอง และรักคนต่างสี (หรือเอาน้ำที่ท่วมมาลบสี่ต่างๆออกได้ก็จะดี) สื่งที่เกิดอยู่ในขณะนี้เป็นเหตุการณ์จริงไม่ได้ฝันไป  การรักใครจนสุดจิตสุดใจไม่ว่าจะรักผู้นำของสีไหน ก็จะทำให้เราขาดเหตุผล ไม่กล้ารับความจริง แตะต้องไม่ได้ ในที่สุดความคลั่งไคล้ผู้นำนั่นแหล่ะ ที่เป็นปัญหาทำให้ท่านทั้งหลาย หันไปช่วยกัน ทำความจริงให้บิดเบี้ยว  ดังที่เราได้ประสบมาแล้วหลายปี 


ท้ายที่สุดก็ต้องขอบคุณคนไทยโดยเฉพาะบรรดาจิตอาสาทั้งหลายที่ช่วยกันแก้ ปัญหา ไม่ออกมาช่วยซ้ำเติมให้สถานการณ์มันย่ำแย่ดังที่เกิดในปีที่ผ่านๆมา อาสาทำดี ไม่มีใครเขาว่าอะไร เพราะหลายอย่างมันก็เกิดขึ้นแล้ว และหวังว่าคนไทยคงไม่ต้องนับหนึ่งกันใหม่เช่นนี้ ในทุกๆปี

ที่มา : http://www.matichon.co.th

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สภาทนายความ ประกาศ! ช่วยด้านกฎหมาย หากเสียหายเดือดร้อนน้ำท่วม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ แถลงว่า เนื่องด้วยมีเหตุอุทกภัยร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และอีกหลายจังหวัด สร้างความเดือดร้อนเสียหายอย่างแสนสาหัสแก่ประชาชน สภาทนายความจึงขอแถลงให้ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนทางกฎหมาย อันเนื่องมาจากภัยพิบัติดังกล่าว สามารถใช้บริการของสภาทนายความ ได้ดังนี้
1.กรณีอุทกภัยเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล เช่น ทุพลภาพ สูญหาย และถึงแก่ความตาย ผู้ประสบภัยหรือผู้แทนโดยชอบธรรม สามารถร้องขอให้สภาทนายความช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย เช่น การเรียกร้องค่าเสียหายหรือการเยียวยา การร้องขอต่อศาลเป็นผู้จัดการมรดก หรือร้องขอให้เป็นผู้สาบสูญตามกฎหมาย
2.กรณีทรัพย์สินเสียหาย สูญหาย ผู้ได้รับความเสียหายหรือผู้แทน ร้องขอต่อสภาทนายความในการเรียกร้องผลประโยชน์จากการประกันภัยหรือผู้เกี่ยวข้อง
3.กรณีลูกจ้างผู้ใช้แรงงาน ในฐานะผู้ประสบภัยหรือผู้แทน อาจร้องขอให้สภาทนายความประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ บริษัทเอกชน หรือดำเนินคดีเรียกร้องสิทธิต่างๆ อันพึงมีพึงได้
4.ในกรณีการขอพักชำระหนี้ ผู้ประสบอุทกภัยสามารถติดต่อขอให้สภาทนายความ ช่วยตรวจสอบเงื่อนไขข้อกำหนดในการชำระหนี้สิน รวมทั้งการขอรับคำชี้แจงและแนวทางแก้ไข เพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยคลายความกังวลใจในการชำระหนี้ และเพื่อให้กระบวนการขอผัดผ่อนชำระหนี้ตามสิทธิทางกฎหมายเป็นไปโดยชอบ เช่น การออกจดหมายหรือหนังสือบอกกล่าวแจ้งไปยังเจ้าหนี้ตามสัญญา ให้ทราบถึงระยะเวลาที่ขอเลื่อนการชำระหนี้ รวมถึงจำนวนเงินที่เกี่ยวข้อง และผู้ประสบอุทกภัยอาจขอให้สภาทนายความตอบหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้จาก เจ้าหนี้ (ถ้ามี) แทนให้อยู่ภายในกรอบเวลาที่ถูกต้องและทันการณ์
5.ใน กรณีที่ผู้ประสบอุทกภัยได้รับความเสียหาย เพราะเหตุจากการกระทำการหรืองดเว้นกระทำการ หรือทำการโดยประมาทเลินเล่อ จากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มากเกินกว่าอุทกภัยตามปกติ สามารถขอรับคำปรึกษาและคำแนะนำในการเรียกร้อง หรือฟ้องคดีได้ตามสิทธิของท่าน
6.กรณีผู้ประสบภัยที่เกิดปัญหาข้อขัดข้องเกี่ยวกับสิทธิอันพึงได้รับ จากการเยียวยาของหน่วยงานรัฐ สามารถปรึกษาสภาทนายความได้
7.กรณี ผู้ประสบภัยต่างจังหวัดสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือจากประธานสภาทนายความ จังหวัดทุกจังหวัด หรือส่งคำร้องการขอรับความช่วยเหลือมายังสภาทนายความได้
8.บริการให้ความช่วยเหลือของสภาทนายความตามแถลงการณ์ฉบับนี้ ผู้ประสบอุทกภัยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ที่มา : Mthai News

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

“สมบูรณ์” จี้ ป.ป.ช. สอบรัฐบาลและการท่าอากาศยานฯ ฐานจงใจทำให้น้ำท่วม ทำบ้านเมืองพินาศ

นายสมบูรณ์ ทองบุราณ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อเช้าวันนี้ เรียกร้องให้ ป.ป.ช. สอบสวนรัฐบาลและการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ฐานจงใจทำให้น้ำท่วม ทำบ้านเมืองพินาศ สนามบินดอนเมืองป่นปี้ยับเยิน เรียกร้องเอาผิดทั้งทางกฎหมายและทางการเงินจนถึงที่สุด

นายสมบูรณ์ ทองบุราณ กล่าวว่าขณะนี้น้ำกำลังท่วมอยู่ แต่มีแนวโน้มว่าจะลดลงแล้ว ความพินาศที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในครั้งนี้รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ยิ่งกว่าเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง และข้อเท็จจริงเริ่มปรากฏชัดขึ้นทุกทีว่าเกิดจากการกระทำของนักการเมืองชั่วทั้งสิ้น ที่สำคัญคือ

เรื่องแรก ความจริงเริ่มชัดเจนว่านักการเมืองชั่วสั่งไม่ให้พร่องน้ำจากทุกเขื่อนในช่วงปลายฤดูแล้ง ซึ่งเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ ทำให้เขื่อนรองรับน้ำฝนรุ่นใหม่ได้ไม่เต็มที่ และเป็นเหตุให้ต้องปล่อยน้ำซ้ำเติมน้ำท่วมให้รุนแรงยิ่งขึ้น

เรื่องที่สอง ความจริงชัดเจนทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้วว่ามีนักการเมืองชั่วสั่งไม่ให้เปิดน้ำลงแม่น้ำท่าจีนเป็นเวลายาวนาน ทำให้น้ำท่วมขังในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และกรุงเทพฯ เพราะทำให้น้ำไหลออกทะเลเหลือเพียงแม่น้ำเจ้าพระยาทางเดียว จึงทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ เป็นอาชญากรรมร้ายแรงต่อประเทศชาติและประชาชน

เรื่องที่สาม ความจริงก็ชัดเจนเช่นเดียวกันว่ามีนักการเมืองชั่วอีก 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ 1 ขัดขวางไม่ให้เปิดทางน้ำไหลเข้าจังหวัดปราจีนบุรี ทำให้น้ำท่วมขังในภาคกลาง และกรุงเทพฯ มากกว่าปกติ และทำให้ระบายน้ำไม่ได้เป็นเวลานาน กลุ่มที่ 2 ขัดขวางไม่ให้เปิดทางน้ำไหลเข้าทางด้านมีนบุรี ทำให้เกิดน้ำท่วมขังในพื้นที่อื่นและระบายน้ำไม่ได้ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มทำลายทรัพย์สมบัติของประเทศ โดยการใช้กำลังป่าเถื่อนเข้ารื้อถอนคันกั้นน้ำทำให้น้ำไหลเข้าคลองประปาและไหลเข้าพื้นที่อื่นจนเกิดภัยพิบัติไปทั่ว

เรื่องที่สี่ มีหลักฐานชัดเจนว่านักการเมืองโง่และชั่วสั่งให้ผันน้ำเข้าท่วมกรุงเทพมหานคร อ้างว่าเพื่อให้เกิดความเดือดร้อนอย่างเป็นธรรม แท้จริงคือกระจายความฉิบหายอย่างเป็นธรรม เป็นการขัดกับกระแสพระราชดำรัสแก้พิบัติน้ำท่วมปี 2538 ซึ่งถือเป็นแบบอย่างการแก้ปัญหาของประเทศ โดยมีวาระซ่อนเร้นเพื่อสร้างความพินาศฉิบหายให้กับประชาชน เพื่อหวังผลประโยชน์ทางงบประมาณและทางการเมือง แม้จะสำนึกผิดในภายหลัง สั่งปิดการระบายน้ำก็เกิดความเสียหายทั่วกรุงเทพมหานครแล้ว

เรื่องที่ห้า มีหลักฐานชัดเจนว่านักการเมืองชั่วและข้าราชการชั่วกลุ่มหนึ่งสมคบกันละเว้นไม่ป้องกันสนามบินดอนเมือง จงใจทำให้น้ำท่วมดอนเมือง เพื่อทำลายสนามบินดอนเมืองและระบบไฟฟ้าของสนามบินซึ่งมีมูลค่านับแสนล้านบาท จงใจให้น้ำท่วมเครื่องบินเพื่อทำลายภาพพจน์ของประเทศและทำลายการท่องเที่ยวของประเทศอย่างยับเยิน ทั้ง ๆ ที่ได้วางระบบป้องกันพื้นที่อื่นและพื้นที่ข้างเคียง แต่กลับละเว้นในลักษณะจงใจให้เกิดความเสียหายกับสนามบินดอนเมือง

เรื่องที่หก มีหลักฐานชัดเจนว่านักการเมืองชั่วจงใจให้เกิดความเสียหายกับประเทศชาติ โดยการละเว้นไม่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอันร้ายแรงอย่างยิ่งตามกฎหมายฉุกเฉิน ซึ่งมีหน้าที่ต้องประกาศไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริง เพื่อให้อำนาจพิเศษและให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่และความพร้อมเข้าป้องกันแก้ไขภัยพิบัติสาธารณะอันร้ายแรง เพื่อป้องกันประเทศชาติและประชาชน แต่กลับละเว้นไม่ประกาศสถานการณ์ใด ๆ เลย ทำประหนึ่งเป็นเรื่องปกติ สนุกเฮฮา ยิ้มแย้มหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางความพินาศฉิบหายของประเทศและประชาชน

เรื่องที่เจ็ด มีหลักฐานชัดเจนว่านักการเมืองได้ใช้อำนาจโดยมิชอบ สั่งให้พนักงานตัดต้นไผ่จากอุทยานแห่งชาติมาทำแพจำนวนมากแล้วเอาไปเก็บไว้ในคลังสิ่งของ โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด และนายกรัฐมนตรีก็ละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการเอาผิดกับรัฐมนตรีที่กระทำความผิด

เรื่องที่แปด มีหลักฐานชัดเจนว่านักการเมืองทั้งผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นได้ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ กระทำผิดกฎหมายยักยอกเอาสิ่งของที่ประชาชนบริจาคเป็นของตนแอบอ้างติดป้ายชื่อว่าเป็นของตน แอบขนเอาไปแจกจ่ายแก่พวกพ้องของตนเอง แอบโยกย้ายลักเอาไปใส่คลังสินค้าของตนเอง และยินยอมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แอบอ้างว่าสิ่งของที่ได้รับบริจาคทั้งจากต่างประเทศและในประเทศเป็นน้ำใจจากคนแดนไกล เพื่อทำให้ประชาชนหลงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสิ่งของบริจาคของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการทำลายเกียรติภูมิของประเทศชาติ ที่ถึงขนาดคนไทยต้องเอาปี๊บคลุมหัว โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีรู้เห็นเป็นใจถึงขนาดอาจสมรู้ให้มีการกระทำดังกล่าว

นายสมบูรณ์ ทองบุราณ กล่าวว่าเฉพาะที่ตนรวบรวมมาก็มี 8 เรื่องใหญ่ และยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกจำนวนมากซึ่งเป็นความผิดทางกฎหมาย และต้องรับผิดทางการเมืองอีกด้วย ดังนั้น ป.ป.ช. ซึ่งมีหน้าที่ก็ไม่ควรนอนหลับทับเงินเดือนประชาชนฟรี ๆ ตนเรียกร้องให้ ป.ป.ช. รีบดำเนินการสอบสวนเพราะมีหลักฐานชัดเจน แต่ตนก็ไม่เชื่อและไม่หวังพึ่งเพราะสงสัยมานานแล้วว่า ป.ป.ช. กำลังกลายเป็นองค์กรปกป้องและฉ้อโกงแห่งชาติไปแล้ว คดีทุจริตจำนวนมากจึงดำเนินการไม่ได้และขาดอายุความ แต่ตนก็ต้องโวยวายเรื่องนี้อย่างน้อยก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศนี้จำเป็นต้องมี ป.ป.ช. อยู่ต่อไปหรือไม่.

ที่มา : http://www.paisalvision.com

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทำนายโหรดัง ดวงเมืองตกต่ำ-แตกแยกลด

โหรชื่อดัง เผยประเทศเข้าสู่กลียุค ดวงเมืองตกต่ำ เกิดภัยธรรมชาติมากมาย ข้าวยากหมากแพง นายกฯ ยิ่งลักษณ์หมดความนิยมลงไปทุกที ขณะเดียวกันความแตกแยกในประเทศจะลดน้อยลง

          อุทกภัย ครั้งใหญ่นี้ นับได้ว่าเป็นภัยธรรมชาติครั้งร้ายแรงสุดในรอบ 50-60 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผลกระทบที่ร้ายแรงที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่นาน ที่ยิ่งแก้ปัญหาเท่าไร ก็ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ และยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงรัฐบาลไม่มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นจึงไม่ใช่แปลกเลยที่ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้น จะกระทบต่อคะแนนนิยมรัฐบาลของรัฐบาลเป็นอย่างมาก

          จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ โหรและหมอดูชื่อดังมากมาย ก็ได้ออกมาวิเคราะห์และทำนายเบื้องหลังสารพัดปัญหาดังกล่าวนี้ว่า ขณะนี้ดวงเมืองกำลังตกต่ำ เกิดภัยธรรมชาติ บ้านเมืองเข้าสู่กลียุค รวมถึงดวงของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ดูจะร่อแร่เต็มทีเช่นกัน โดยหมอดูแต่ละท่าน ได้ทำนายเอาไว้ ดังนี้


1.คฑา ชินบัญชร (หมอดูไพ่ยิปซี)

          จับไพ่ตรวจสอบดวงชะตาของประเทศ พบว่าประเทศไทยจะประสบกับภัยธรรมชาติมากขึ้น โดยช่วงเดือนต.ค.ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่เราประสบภัยธรรมชาติหนักที่สุด เพราะปีนี้เป็นปีกระต่ายธาตุทองกำเนิดน้ำ

          ประกอบกับก่อนหน้านี้ในเดือนก.ย. เป็นปีไก่ซึ่งไม่ถูกกับกระต่าย เป็นเดือนปะทะชน จึงส่งผลกระทบกับบ้านเมืองอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้

          หลัง วันที่ 12 พ.ย. สถานการณ์ต่างๆ จึงจะเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่พอเริ่มเข้าสู่เดือนธ.ค. ประชาชนจะประสบกับปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจะตกต่ำ ประชาชนจะรู้ผิดหวังกันมากขึ้น

          แต่จะไม่มีเหตุการณ์รุนแรง เช่น การปฏิวัติรัฐประหาร แต่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายเดือน ธ.ค.54 ถึง ก.พ.55 หากมีเหตุปัจจัยไปกระตุ้นเช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับเข้าประเทศ

          ช่วงเวลาดังกล่าวกระทรวงยุติธรรม กระทรวงเกษตรฯ รวมทั้งกระทรวงการคลัง มีความโดดเด่นในการเข้ามาแก้ไขปัญหา รวมทั้งจัดการเรื่องต่างๆ ให้รัฐบาลเกิดความมั่นคงมากขึ้น

          แต่ พอมาถึงช่วงเดือน ธ.ค. ระหว่างวันที่ 16 ธ.ค.จนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน รัฐบาลจะต้องประสบปัญหาภัยแล้งเพิ่มเติม เป็นช่วงที่รัฐบาลต้องเจอกับภัยธรรมชาติอย่างมาก เพราะเป็นปีมังกรธาตุน้ำ ซึ่งในช่วงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงกับรัฐบาล จะมีการปรับ ครม. เพื่อไม่ให้มีรัฐมนตรีที่ผิดฝาผิดตัวอยู่ใน ครม. คนชั่วจะกลับตัวเป็นคนดี แต่ใครที่คิดร้าย ทำลายบ้านเมืองจะถูกกรรมสนองอย่างรวดเร็ว สถานภาพทางการเมืองจะสั่นคลอน

          พอมาถึงช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.55 ตลาดหุ้นจะมีปัญหา ด้านอุตสาหกรรมจะมีการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศมากถึงร้อยละ 30 แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาของโอกาสที่เราจะพัฒนาพื้นที่ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น

          และในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่คนไทยจะรักกันมากขึ้น ความแตกแยกจะลดน้อยลง

          ช่วงที่เกิดปัญหาขึ้นในขณะนี้ อยากให้ทุกคนร่วมกันสวดคาถาบารมี 30 ทัศเพื่อบูชาและขอพรจากพระแม่ธรณีและพระแม่คงคา ซึ่งจะช่วยพัดเอาความชั่วร้าย รวมถึงคนโกงบ้านโกงเมืองออกไปจากแผ่นดิน ที่สำคัญการสวดมนต์จะช่วยให้เราทุกคนมีสติ สู้กับปัญหาได้ต่อไป


2.ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล (ประธานสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย)

          เคยวิเคราะห์ดวงครม.ทั้งคณะ ในช่วงที่เริ่มเข้ามาดำรงตำแหน่งว่า ครม.ชุดนี้มีบุคคลที่ดวงดีเพียง 12 คน ขณะที่มีบุคคลที่ดวงเข้าเคราะห์มากถึง 24 คน เมื่อคนที่มีดวงเข้าเคราะห์มากกว่าคนที่ดวงดี รัฐบาลชุดนี้จึงต้องประสบแต่ปัญหาหนัก ๆ ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

          ผมเคยดูดวงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วงวันเลือกตั้ง ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์มีดวงสมพงศ์กับวันเลือกตั้ง แต่เมื่อตั้งรัฐบาลขึ้นมา บุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ส่งผลให้ครม.ชุดนี้ประสบแต่ปัญหาให้ต้องฟันฝ่าเรื่อย ๆ

          สังเกตได้จากตั้งแต่ช่วงเดือนก.ย. ซึ่งเป็นเดือนชงกับนายกฯ เดือนต.ค.ก็เป็นเดือนชงกับม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ช่วงที่ผ่านมาจึงมีแต่ปัญหาแก้ไม่ตก ทั้งรัฐบาลและผู้ว่าฯกทม.ต่างตีกัน ไม่ลงรอยกัน อย่างเช่น การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในขณะนี้ ส่งผลให้บ้านเมืองเดือดร้อนเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ร่วมมือกัน อีกทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ซึ่งปีนี้อายุ 45 ปี ถือเป็นช่วงอายุที่เข้าเคราะห์เช่นกัน ทำให้ในช่วงนี้ประสบแต่เรื่องหนัก ๆ ไม่ได้เสวยสุข แต่ก็จะผ่านพ้นเรื่องร้าย ๆ ไปได้

          โดยในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. เมื่อมรสุมผ่านพ้นไปแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใส แต่ก็ทิ้งซากปรักหักพังเอาไว้ ซึ่งจะเป็นช่วงที่บ้านเมืองเข้าสู่การฟื้นฟู น้ำที่ไหลท่วมกรุงเทพฯ เปรียบเสมือนล้างสิ่งที่ไม่ดีไปด้วย ปล่อยให้ไหลไป ผู้ที่เดือดร้อนอย่าท้อแท้หรือหมดกำลังใจ ต้องช่วยกันประคบประหงมเพื่อให้บ้านเมืองกลับมาสู่ความสำเร็จ

          ช่วงต้นปี 2555  รัฐบาลชุดนี้โดยเฉพาะน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะต้องประสบปัญหาหนักกว่านี้ โดยช่วงตรุษจีนบุคคลที่มีดวงดีจะเพิ่มเป็น 14 คน แต่บุคคลที่ดวงเข้าเคราะห์ยังมีอยู่มากถึง 22 คน และในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. ซึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในครม.ชุดนี้ เพราะหากไม่มีการปรับเปลี่ยน ครม.จะเกิดความวุ่นวาย ขัดแย้งกันเอง มีความไม่ลงตัวเกิดขึ้นภายใน ครม. และจะประสบกับปัญหาหนักอย่างแน่นอน

          โดยเฉพาะนายกฯ จะถูกโจมตีอย่างหนัก เกิดการตัดสินใจผิดพลาด ส่งผลให้ภาพลักษณ์ไม่ดี ที่สำคัญดวงของนายกฯ ในปี 2555  จะเป็นมะแมธาตุไฟ ขณะที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย จะเป็นดวงปีฉลูธาตุดิน ต่างฝ่ายต่างดวงเข้าเคราะห์และจะเป็นปีชงกันเอง ก่อให้เกิดเรื่องที่ขัดแย้งกันเองด้วย

          ปี 2555  รัฐบาลจะต้องประสบกับภัยธรรมชาติ น้ำที่เคยท่วมในพื้นที่ใดมาก่อนแล้ว ก็จะกลับมาท่วมในพื้นที่เดิมอีก ดังนั้นต้องวางแผนรับมือเอาไว้ล่วงหน้าด้วย อย่างไรก็ตามจะยังไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงขั้นปฏิวัติรัฐประหาร ผมเคยพูดหลายครั้งว่า หลักเมืองของไทยต่ำและก็เริ่มผุ หากสามารถปรับแก้ได้จะช่วยให้ประเทศไทยดีขึ้น


3.กรหริศ บัวสรวง (โหรชื่อดัง)

          ดวงเมืองหลังวันที่ 16 พ.ย.เป็นต้นไป ดาวเสาร์เล็งดวงเมือง เป็น "ดวงพินทุบาทว์" โดยดาวเสาร์เข้ามาอยู่ในราศีตุล ประกอบกับดาวศุกร์ซึ่งเป็นธาตุน้ำ และดาวพุธซึ่งเป็นดาวน้ำทะเลและโคจรไม่ห่างจากดาวศุกร์

          ดังนั้นจะส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ดาวเสาร์ซึ่งเป็นธาตุไฟ ต้องระวังเรื่องของปัญหาไฟฟ้านอกเหนือจากปัญหาไฟไหม้ป่าด้วย ช่วงนี้บ้านเมืองจึงอยู่ในช่วงอาการหนัก รัฐบาลแก้ปัญหาอย่างไรก็เอาไม่อยู่

          อย่างไรก็ตาม น้ำที่ไหลท่วมลงมาตั้งแต่ จ.นครสวรรค์ กระทั่งเริ่มเข้าท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น ตามหลักของโหราศาสตร์ไม่นับปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นปัญหาอุทกภัย เพราะพื้นที่ที่ควรท่วม เช่น เขตมีนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย กลับไม่ท่วม แต่พื้นที่ที่ไม่เคยท่วมเลย เช่น เขตทวีวัฒนา บางพลัด ซึ่งเป็นพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์ กลับมีน้ำท่วมขัง แสดงว่าการบริหารจัดการ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลไม่ดีพอ เป็นเรื่องของเกมการเมือง

          เราจะประสบปัญหาน้ำท่วมขังอย่างต่อเนื่องและยาวนานไปจนถึงต้นปี 55  เพราะดาวพุธจะโคจรไปทางทิศใต้ ดังนั้นพื้นที่ภาคใต้จะประสบปัญหาน้ำท่วม ขณะที่ภาคเหนืออาจได้รับผลกระทบจากพายุ และสภาพน้ำท่วมจะยังคงมีอยู่ต่อไป ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศจะตกต่ำ เกิดปัญหาข้าวยากหมากแพง ข้าวสารหรือแม้แต่น้ำดื่มจะไม่เพียงพอ

         ที่สำคัญดาวเสาร์โคจรเล็งดวงเมืองเป็นช่วง ′เสาร์ระห่ำ′ เป็นมหาอุจ ชี้ว่ารัฐบาลจะอยู่บริหารงานได้ไม่เกิน 90 วันนับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.54 เป็นต้นไป เพราะนับจากช่วงนี้ดวงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะตกต่ำ ขณะที่ดาวของทหารที่หงิกงอมานานจะกลับมาผงาด โดยทหารจะไม่ได้ทำการปฏิวัติรัฐประหาร แต่อาจมีการเจรจากันเพื่อให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ เนื่องจากไม่มีความสามารถแก้ไขหรือประคองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้

          มีข้อสังเกตทางทฤษฎีว่า ช่วงที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ ก็ตกม้าตาย ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้นาน ขณะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ ก็อยู่ได้ไม่นานเช่นเดียวกัน ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ซึ่งมาจากตระกูลเดียวกัน จะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน 90 วันแน่นอน


          นอกจากนี้ ยังมีหมอดูท่านอื่น ๆ อาทิ อาจารย์หม่อม มณฑล สายทัศน์ คนเปิดกรรม, อาจารย์แบงค์ สเกทช์กรรม-ขยำกระดาษพยากรณ์ และ อาจารย์เนปจูน ธรรมพรปัญญา มาร่วมทำนายทายทัก "ดวงเมือง" จากเหตุการณ์น้ำท่วมประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์

          โดยอาจารย์เนปจูน เปิดเผยว่า จากการสำรวจเส้นทางของดวงดาว นอกจากภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำในปีนี้ อันมีเหตุมาจากดาวเชอรอนโคจรใกล้กับดาวจันทร์ที่เปลี่ยนมุมองศา และดาวอังคารมาปะทะกับดาวเมอร์คิวรี ส่งผลให้เกิดอุทกภัยร้ายแรงและสภาวะความไม่แน่นอนในระบบข่าวสารของรัฐบาล แต่จะบรรเทาเบาบางลงในช่วงวันที่ 7-8 พ.ย.นี้ ยังมีเรื่องน่าหนักใจคือ หลังจากน้ำลดราวปลายเดือน ม.ค.2555 ประเทศไทยจะเจอวิกฤติโรคระบาดร้ายแรงที่มากับน้ำและอากาศ ซึ่งจะทำให้มีคนตายเยอะ

          ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าก็คือ ในปี 2555 ประเทศไทยจะเจอเหตุการณ์ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าปี 2554 เพราะปรากฏการณ์หลาย ๆ อย่างจะเกิดขึ้นในช่วงครบรอบรอยต่อแบบพอดิบพอดี และยังมีดาวนิบิรุหรือดาวนิวคีโดสในภาษาฮีบรูโบราณ ซึ่งหมายถึงมหันตภัยจะโคจรมาใกล้โลก ส่งผลให้โลกหยุดหมุน ทุกอย่างกลับตาลปัตร  อย่างประเทศไทยก็อาจเกิดสึนามิขึ้นมาอีกรอบ หรือแม้แต่ภูเขาไฟที่ไม่เคยระเบิดก็อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ เขื่อนรับน้ำใหญ่ ๆ อย่าง ภูมิพล, สิริกิติ์ หรือสิรินธร ก็อาจมีรอยรั่วหรือแตกได้ในช่วงปลายปีหน้าหรือต้นปี 2556


          ในมุมของ อาจารย์หม่อม มณฑล สายทัศน์ คนเปิดกรรม ระบุว่า ตนเคยทำนายไว้ตั้งแต่ปี 2552 ว่าประเทศไทยจะเจอปัญหาน้ำท่วม และก็เกิดขึ้นจริง ๆ และเหตุแห่งปัญหาทั้งหมดมาจาก "ดวงกรรมของประเทศ" เอง ที่ต้องการชะล้างความไม่ดีออกจากแผ่นดิน กล่าวได้ว่านับต่อจากนี้คนไม่ดี ไม่อยู่ในศีล จะอยู่ในประเทศไทยนี้ไม่ได้

          วิกฤติ ที่จะตามมาหลังจากนี้ และต่อเนื่องไปถึงปี 2555 ก็คือโรคติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่มีความร้ายแรงเท่ากับไข้หวัด 2009 โรงพยาบาลจะเต็มไปด้วยผู้ป่วย แต่ถ้าถามว่าปีหน้าโลกจะแตกไหม ตอบได้ว่าไม่ แต่ถ้าถามว่าผู้หญิงยังเป็นนายกฯ อยู่หรือไม่ อันนี้ตอบได้ว่าใช่ และเร็ว ๆ นี้จะมีพรรคการเมืองผู้หญิงเกิดขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม คำทำนายที่ได้นั้นยังบอกเพิ่มด้วยว่า คนดีจะกลายเป็นคนเลว และคนเลวจะกลายเป็นคนดี หมายถึง คนที่หน้าไหว้หลังหลอกจะเผยตัวตนออกให้ได้รู้กัน ส่วนคนเลวก็จะสำนึกผิดและกลับตัวเป็นคนดี


          และอีกหนึ่งเสียงที่ยืนยันว่าปี 2555 ประเทศไทยจะเกิดกลียุคขึ้นอีกครั้ง โดย คนินพัทธุ์ เอี่ยมตระบุตร หรือ อาจารย์แบงค์สเกทช์กรรมฯ บอกอย่างชัดเจนว่า ในปีหน้าจะมีเรื่องแผ่นดินไหว แผ่นดินเลื่อน ที่อาจเกิดจากประเทศเพื่อนบ้านแล้วส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย หรือบางทีอาจเกิดขึ้นจากใจกลางประเทศเอง และส่งผลทำให้ตึกออฟฟิศสูงใน กทม.ถล่ม

          นอกจากที่แจงไว้เบื้องต้นแล้ว ยังมีเรื่องไข้หวัดและโรคระบาดเข้ามาเสริมด้วย โดยโรคระบาดดังกล่าวจะระบาดเพิ่มไปถึงปลา ไม่แค่สัตว์เนื้ออย่างไก่ หมู วัว อย่างที่เคยเป็นมา ส่วนกรณีน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้น จะบรรเทาลงช่วงสิ้นปีถึงปีใหม่ ปีหน้าไม่มีเหตุน้ำท่วม แต่จะท่วมใหญ่อีกทีในปี 2557 ซึ่งวิกฤติกว่าปี 2554 แน่นอน

          หนทางรับมือหากเกิดเภทภัย การเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้พร้อมถือเป็นเรื่องดีที่สุด ซึ่งโหรทั้ง 3 ท่านต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า ขอให้มีสติเป็นหลัก และมีความเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ทั้งอาหารการกินที่ถูกสุขลักษณะ ที่หลับที่นอน อุปกรณ์ป้องกันภัย ฯลฯ สุดท้ายขอให้หมั่นทำดีดำรงตนอยู่ในศีลธรรม แค่นี้ก็เพียงพอ

          ส่วนการแก้กรรมในทุกรูปแบบอย่าได้ทำ เพราะไม่มีจริง ...ใครทำอะไรไว้ย่อมได้รับผลเช่นนั้น!!!




ที่มา : www.kapook.com

น้ำน่านลดน่าใจหาย เตรียมทำบุญเรียกขวัญเมือง

วันนี้(31ต.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสถานการณ์น้ำในแม่น้ำน่านที่สูงสุดกว่า 11 เมตร เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เพียงระยะเวลาผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ระดับน้ำแม่น้ำน่านที่ไหลผ่านตัวเมืองพิษณุโลก ลดลงและแห้งขอดจนน่าใจหาย ระดับน้ำอยู่ที่ 4.86 เมตร ซึ่งถือว่าลดระดับลงถึง 7 เมตรด้วยกัน จากระดับน้ำที่ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ทางจังหวัดพิษณุโลก ที่เตรียมจัดงานลอยกระทงประจำปี 2554 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-10 พ.ย.นี้ ต้องเสริมเวทีการประกวดนางนพมาศ และการแสดงต่างๆ ที่บริเวณหน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร ต้องจัดทำขึ้นถึง 2 ชั้นด้วยกัน เพราะทำให้ผู้ชมที่อยู่ด้านบนเห็นการแสดงไม่ชัดเจน





นอกจากนี้จากวิกฤติน้ำท่วมในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนชาวเมืองพิษณุโลกต่างลุ้นและผวาว่าน้ำจะท่วม เมืองเหมือนจังหวัดอื่น แต่ก็สามารถผ่านวิกฤติดังกล่าวไปได้ ส่งผลให้ นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก พร้อมหัวหน้าหน่วยงานในจังหวัดพิษณุโลก ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชน จะจัดพิธีทำบุญเรียกขวัญเมือง ขวัญเอ๋ย ขวัญมี พิษณุโลกคนดี จงมีขวัญมา ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ที่ บริเวณสี่แยกกรุงไทย กลางเมืองพิษณุโลก โดยจะร่วมกันทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง แก่พระภิกษุสงฆ์ เพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจแก่ชาวพิษณุโลกหลังเหตุการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา โดยการจัดงานครั้งนี้จัดขึ้นพร้อมกันทั้ง 9 อำเภอ โดยแต่ละอำเภอก็จะเปิดจุดรับบริจาคสิ่งของที่จำเป็น ภายใน 7 วัน จากนั้นจะนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในกรุงเทพ ต่อไป




ที่มา : http://www.phitsanulokhotnews.com/6358