วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ปริมาณน้ำ คำถามที่ยังไม่ได้ตอบ

ความลี้ลับของปริมาณน้ำ คำถามที่ยังไม่ได้ตอบ โดย สมศรี หาญอนันทสุข

มรสุมหลายลูกที่พัดผ่านประเทศไทยเมื่อประมาณ3เดือนที่ ผ่านมา ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ทางภัยธรรมชาติที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติ ไทย และอาจเทียบชั้นระดับโลกได้เลย วันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักประเทศไทยแล้ว โดยเฉพาะคนในประเทศแล้งๆแถวแอฟริกา คงนั่งอิจฉา ประเทศบ้าที่ไหนนะะมีน้ำเยอะขนาดเลี้ยงคนเกือบทั้งแอฟริกาได้เลย  คนสร้างหนังฮอลลีวูดเรื่อง THE DAY AFTER TOMORROW คงนั่งตบหัวตัวเองด้วยความเสียดาย ถ้าน้ำท่วมประเทศไทยเร็วกว่านี้สัก 23ปี คงไม่ต้องเสียเงินค่าทำEFFECTให้เปลืองเงินเสียเปล่า

ครานี้เราก็ลองมาตั้งคำถามกันเล่นๆแบบคนไม่มีความรู้อะไรว่า น้ำนั้นมันรวมตัวไหลมาสู่ภาคกลางได้มากมายมหาศาลขนาดนั้นได้อย่างไร เป็นน้ำมือของธรรมชาติล้วนๆหรือน้ำมือคนประสมโรง หรือเป็นน้ำมือคนแล้วธรรมชาติประสมโรง  ลองย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา  กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีสัญญาณเตือนภัยแล้วว่าพายุจะถล่มภาคเหนือและภาค อีสานอย่างแน่นอนดังนี้

พายุนกเตน เมื่อเวลา 05.00 น. วันนี้ (30 ก.ค.54) พายุโซนร้อน “นกเตน” (NOCK-TEN) บริเวณชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะไหหลำ ประเทศจีน หรือที่ละติจูด 19.4 องศาเหนือ ลองจิจูด 108.5 องศาตะวันออก มีความ เร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


ผู้เขียนได้ฟังข่าวกรอกหูทุกวันในเรื่องพายุและน้ำ  รู้สึกได้เลยว่าปีนี้จะมีน้ำฝนมากผิดปกติเนื่องจากได้ไปสังเกตการณ์การเลือก ตั้งใหม่ (re-election) ที่หนองคาย (หลังการเลือกตั้งใหญ่)      ท่ามกลางฝนตกทั้งวัน และน้ำท่วมตัวเมืองหนองคายอย่างไม่เคยมีมาก่อน (ตามคำบอกของคนขับรถ)  รถยนตร์จำนวนมากเริ่มมาจอดที่ถนน และรถที่นั่งก็ลุยน้ำไปยังหน่วยเลือกตั้งต่างๆ บางหน่วยมีคนมาเลงคะแนนน้อยมาก

จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลา 3 เดือน เราต้องฟังข่าวน้ำท่วมมาตลอด ข่าวจริงและข่าวปิดบ้าง โดยหวังว่าเราจะมีมาตรการในการผันน้ำลงแม่น้ำ คูคลอง หรือแก้มลิง ด้วยความรู้ความสามารถพื้นๆ ตั้งแต่แรก  ต่อให้ไม่ต้องพึ่งการกักเก็บ ปิดเปิดน้ำจากเขื่อนก็ตาม มวลน้ำก็ไม่น่าจะเหลือให้ไหลเข้าภาคกลางและเข้ากรุงเทพฯ ได้ทหาศาลขนาดนั้น เพราะมันน่าจะถูกพร่องออกไปตามลำดับระยะวันเวลา และระยะทาง และหากมีการพร่องน้ำในจุดต่างๆช่วยด้วยแล้ว  ก็แทบจะไม่เหลือเข้ากรุงเทพฯ มหาศาลขนาดนั้น (ดูทะเลดอนเมือง และวิภาวดี เป็นต้น)     เหตุใดความรุนแรงของพายุกับความเสียหายมันช่างไม่สอดคล้องกันเลย  

สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้และตนเองต้องตกเป็นผู้สูญเสียด้วยคนหนึ่งนั้น ก็คือ เมื่อเหตุเกิดในภาคเหนือและอีสาน จังหวัดแล้ว จังหวัดเล่า  รัฐบาลซึ่งมีนักการเมืองรุ่นเก่าและแก่ผู้ที่มีประสบการณ์มากมายกับข้า ราชการใกล้เกษียณอีกมาก ยกเว้นนายกฯยิ่งลักษณ์ที่เป็นมือใหม่หัดขับ แต่คงไม่ใช่มือใหม่หัดขับทั้งหมดเป็นแน่ แล้วรัฐบาล ข้าราชการการเมืองกับข้าราชการประจำที่รับผิดชอบมัวทำอะไรอยู่


 เอาล่ะ คงไม่มีใครในรัฐบาลสบายใจที่จะตอบคำถามนี้  แต่หากมองระยะเวลาที่รัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศประกอบกับรัฐมนตรีจากพรรคร่วม รัฐบาลที่ดูแลกรมชลประทาน  ก็มาจากรัฐบาลชุดเก่าและคลุกคลีกับเรื่องนี้มานาน รัฐบาลจึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบส่วนหนึ่งได้

หากประเทศเรามีรัฐบาลมืออาชีพ หัวหน้ารัฐบาลคงเปิดโต๊ะประชุมแต่เนิ่นๆ เรียกบรรดารัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นเขตเสี่ยง ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง มานั่งมองหน้ากันและคุยกันให้เป็นภาษาเดียวกัน ถ้าน้ำในเขื่อนเต็มมาตั้งแต่รัฐบาลชุดเก่า รัฐบาลในฐานะผู้บริหารประเทศก็สั่งให้ทะยอยปล่อยน้ำเพื่อรองรับน้ำฝนแต่ เนิ่นๆได้


ถามต่อว่าเวลาสามเดือน ไม่เพียงพอกับการเตรียมการป้องกันน้ำหลากเข้าจังหวัดอื่นๆได้อย่างไร หรือไม่มีความพยายามเพียงพอ  หรือไม่มีมาตรการใหม่ๆ หรือไม่มีเวลาสั่งการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ ความเสียหายของภาคอุตสาหกรรมจึงมากมายนับแสนล้าน

สื่งที่นักลงทุนญี่ปุ่นเอง ได้เปรียบเปรยว่า  ญี่ปุ่นประสบมหาตภัย สึนามิ ยังพออธิบายได้ว่า มันมากระทันหัน โจมตีครั้งเดียวจอด ตั้งตัวไม่ทัน  และโดนภัยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ด้วย สุดที่จะตั้งรับได้  


แต่ญี่ปุ่นตั้งคำถามกับไทยว่า ภัยน้ำครั้งนี้มีการเตือนภัยหลายครั้งและน้ำค่อยๆมา เพื่อให้เราได้เตรียมตัว  ทำไมยังทำให้อยุธยา ปทุมธานี จมน้ำขนาดนั้น 

ที่น่าตกใจมากกว่านั้น ก็คือ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ซึ่งญี่ปุ่นเชื่อว่า รัฐบาลไทยจะช่วยป้องกันให้ได้ ตามที่คุยไว้ ถึงที่สุดก็จมน้ำ  เจ้าของโรงงานเลยไม่ได้เตรียมอพยพเครื่องจักร เป็นเพราะนายกเชื่อแต่นักวิชาการฝ่ายตน ประกอบกับตนเองก็ยังต้องเรียนรู้อีกแยอะ พอเอาเข้าจริง รมต.หลายคนในพรรคเดียวกันถึงกับช็อก และต้องกอดคอญี่ปุ่นร้องไห้กันใหญ่ ไม่ใช่เพียงที่เห็นทางข่าวเท่านั้น เพราะเราไม่ได้นับการสูญเสียโอกาส ที่ทำท่าว่า อาจถึงกับทำให้ ทุนนิยมในไทยจะเสียหาย ล่มสลาย หรืออ่อนตัวเร็วไปหรือเปล่า

การตั้งรับของ ทาง กทม. ซึ่งเหมือนขานรับวิธีการแก้ปัญหาน้ำตามรัฐบาล แบบเดิมๆ เหมือนปล่อยเลยตามเลย เดินตามน้ำ โดยไม่มีนโยบายเชิงรุก  ไม่มีวิธีการใหม่ๆ ไม่สรุปบทเรียนจากจังหวัดอื่น เลยทำให้ กทม. เสียหายย่อยยับไปด้วย  แน่นอน ท่านอาจอ้างได้ว่านายกฯ เป็นผู้สั่งให้เปิดประตูน้ำ 7 ประตู  เพื่อให้น้ำผ่านจึงทำกทม.ท่วม  แต่ท่านทั้งหลายย่อมคัดค้านได้มิใช่หรือ เรื่องมหันตภัยระดับชาติและความเสียหายต่อนักลงทุนต่างชาติเช่นนี้ มันต้องยอมแตกหักกันเลย ใช่หรือไม่ หรือเราประเมินความเสียหายต่ำไปเสมอ


เพราะคนใหม่ที่ไม่มีความรู้ในเรื่องน้ำ และภัยพิบัติมาก่อน  แต่ ผู้ว่า กทม.เป็นนักการเมืองเก่า  ย่อมรู้สถานการณ์ดี เหตุใดจึงไม่คิดที่จะระดมคนจิตอาสาทั้ง กทม.สร้าง "มหกรรมแก้ปัญหาน้ำท่วม"  ทำทางน้ำไหล (water way) ให้คนทั่วไปมีส่วนร่วมทั้งที่เขาอยากจะช่วยกันอยู่แล้ว หรือเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิผลมากกว่านี้ โดยไม่หวังพึ่งแต่ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายตนเท่านั้น

เพราะเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้ ภาคประชาสังคมและนักวิชาการต้องออกมามีบทบาทด้วยตนเอง ไม่เพียงแต่เป็นที่พึ่งในเรื่องข้อมูล และการวิเคราะห์ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างน่าฟัง  แต่พวกเขาได้ออกแถลงการณ์มาเสนอให้รัฐบาลแล้วว่า  ให้ใช้พวกเขาให้เป็นประโยชน์  แต่ถึงขณะนี้ก็ไม่มีการทาบทาม หรือเป็นเพราะไม่ไว้ใจ  ไม่มีใครทราบได้   ภาคประชาสังคมจึงหันไปช่วยประชาชนด้วยตัวเอง และช่วยเหลือชาวบ้านร่วมกับบรรดาจิตอาสาจำนวนมาก ระดมความคิด ความช่วยเหลือประชาชนอย่างแข็งขัน  


บางส่วนยังถูกนักการเมืองท้องถิ่นที่มี สส.หนุนหลัง ทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำงานของพวกเขาในหลายพื้นที่  เป็นเรื่องน่าสังเวชที่ต้องบอกกันตรงๆว่า  นักการเมืองหลายคน ไม่อยากให้องค์กรพัฒนาเอกชน หรือสื่อประชาชนเข้าช่วยเหลือในจังหวัดนั้นๆ เพราะนักการเมืองต้องการให้น้ำท่วม และประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยจะได้มีงบเข้ามาในจังหวัด จะได้มีเงินกระเส็นกระสายเข้ากระเป๋าตนเองบ้างหรือเอาเงินไปแจกจ่ายเพื่อ ช่วยสร้างคะแนนนิยมให้ตนเองบ้าง

ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งและแสดงทัศนะในนามคนไทยที่ต้องการทราบข้อเท็จ จริง หายนะภัยครั้งนี้มันมากเกินกว่าที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบได้  พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมต้องทบทวนตัวเองอย่างมาก  แทนที่จะมัวมาชมกันเอง ให้กำลังใจกันเองเพื่อให้งบประมาณผ่านสภา พรรคจำเป็นต้องทบทวน เพื่อปรับครม. โดยไม่เกรงใจว่าอาจจะต้องลดบทบาทนายกฯลงด้วย   เพื่อให้ยืดเวลาของการเรียนรู้ให้กับเธอมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งรองนายก หรือ รมต.กระทรวงที่เธอถนัดจะดีกว่า  และการเปลี่ยนแปลงตามที่คนในพรรคเดียวกันเสนอนั้น ก็จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบ ต่อสาธารณชน โดยที่พรรคไม่ได้เสียอะไร 


 เรื่องนี้คุณทักษิณเอง ก็ต้องยอมรับความจริง หากคนในพรรคยังมีคนเก่งที่สามารถกอบกู้ประเทศได้ ก็ต้องยอมให้เขาแสดงฝีมือกันตามความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนใหม่หรือชายแกร่งคนไหนในพรรคก็ตาม


บรรดาแม่ยกของพรรค หรือเสื้อสีต่างๆก็เช่นกัน ควรจะเรียนรู้การใช้เหตุและผลจากความเสียหายครั้งนี้  รู้จักรักตัวเอง และรักคนต่างสี (หรือเอาน้ำที่ท่วมมาลบสี่ต่างๆออกได้ก็จะดี) สื่งที่เกิดอยู่ในขณะนี้เป็นเหตุการณ์จริงไม่ได้ฝันไป  การรักใครจนสุดจิตสุดใจไม่ว่าจะรักผู้นำของสีไหน ก็จะทำให้เราขาดเหตุผล ไม่กล้ารับความจริง แตะต้องไม่ได้ ในที่สุดความคลั่งไคล้ผู้นำนั่นแหล่ะ ที่เป็นปัญหาทำให้ท่านทั้งหลาย หันไปช่วยกัน ทำความจริงให้บิดเบี้ยว  ดังที่เราได้ประสบมาแล้วหลายปี 


ท้ายที่สุดก็ต้องขอบคุณคนไทยโดยเฉพาะบรรดาจิตอาสาทั้งหลายที่ช่วยกันแก้ ปัญหา ไม่ออกมาช่วยซ้ำเติมให้สถานการณ์มันย่ำแย่ดังที่เกิดในปีที่ผ่านๆมา อาสาทำดี ไม่มีใครเขาว่าอะไร เพราะหลายอย่างมันก็เกิดขึ้นแล้ว และหวังว่าคนไทยคงไม่ต้องนับหนึ่งกันใหม่เช่นนี้ ในทุกๆปี

ที่มา : http://www.matichon.co.th