วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
แจก"บีบี"นายอำเภอทั่วประเทศ1เม.ย. รองอธิบดีกรมการปกครองอ้างขยายช่องทางสื่อสาร
นายอำเภอเฮ! จะได้รับแจกบีบีฟรีทั่วประเทศ ในวันที่ 1 เมษายนนี้
ก่อนหน้านี้รัฐบาลโดนวิจารณ์เกี่ยวการหาเสียงด้วยการแจกฟรีมาแล้ว ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่ารถเมล์ฟรี อีกทั้งยังมีการปรับเงินเดือนหน่วยงานต่าง ๆ อีกหลายองค์กร โดยเฉพาะเรื่องการปรับขึ้นเงินเดือนของหน่วยงานในกระทรวงมหาดไทย อย่างเช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 1 เมษายนนี้ กรมการปกครอง สังกัดกระทรวงมหาดไทย เตรียมแจกโทรศัพท์มือถือยี่ห้อแบล็คเบอร์รี่ (BlackBerry) ให้กับนายอำเภอทุกคนทั่วประเทศ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสื่อสาร โดยนายบุญส่ง เตชะมณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง
กล่าวว่า การแจกโทรศัพท์ดังกล่าวไม่ได้ใช้งบองค์กรแน่นอน แต่เป็นการดิวเครื่องฟรีกับบริษัทเอไอเอส และมีสัญญาการใช้งาน 1 ปี
ที่มา : ข่าวสด และ เว็ปกระปุก
วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ไทย-เขมร "ทางต้องเป็น" ในอนาคต
วันนี้ (๒๒ ก.พ.๕๔) คงจะใจจด-ใจจ่อกันพอสมควร คืออยากทราบว่า ที่นายมาร์ตี นาตาเลกาวา รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดฯ ในฐานะ "ประธานอาเซียน" เชิญรัฐมนตรีอาเซียน ๑๐ ประเทศมากินข้าว-จิบไวน์ ทำหน้าที่ "กาวใจ" ระหว่างไทย-เขมรนั้น ได้ผลขนาดไหน เพราะเท่าที่ฟัง ตั้งแต่ UNSC บอกให้ ๒ ประเทศไปคุยกัน และให้อินโดฯ เป็นพี่เลี้ยง สมเด็จฮุน เซน ท่านก็พูดเช้าอย่าง บ่ายอย่าง เย็นอย่าง และละเมอตอนดึกอีกอย่าง
ทำไป-ทำมา เลเพลาดพาด ด่า "อาเซียน" ส่งเดชเลยว่า...มีน้ำยาอะไรที่คนอย่างเขาจะต้องฟัง ระดับเขา...โน่น ต้องยูเอ็น หรือศาลโลกเท่านั้น จึงจะคู่ควร!?
ผมน่ะสงสาร "นายฮอร์ นัมฮง" รัฐมนตรีต่างประเทศเขมร ท่านคงเวียนหัวน่าดู กับการที่มีลูกพี่ด้อย "วุฒิภาวะทางสมอง" หลงตัว-หลงตน แถมไม่อยู่กะร่อง-กะรอยเช่นนี้ แล้วท่านต้องเต้นตาม จนมีภาพเป็น มิสเตอร์ "ดันทุรังสูง" ตามไปด้วย
สำหรับไทยเรา ตั้งแต่เกิดเรื่อง ๔ กุมภา เขมรใช้ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นฐานปฏิบัติการ ยิงตูมตามเข้ามาจนบ้านเรือนฝั่งไทยไฟลุกท่วมพังพินาศ ผู้คนล้มตายไปตามๆ กัน
และทั้งระดับกองทัพ ระดับรัฐบาล ระดับกระทรวงการต่างประเทศ ก็แสดงการรับรู้ต่อความก้าวร้าว-หยาบคายของเพื่อนบ้านด้วยความอดทน-อดกลั้น บ่งถึงความเป็นผู้มีวุฒิภาวะ และมืออาชีพให้เห็น จะตอบโต้ก็ตอบโต้ในลักษณะตักเตือน "หมากัด-ไม่ลงไปฟัดกะหมา"
ยึดสันติ ไม่ทะเลาะเป็นที่ตั้ง!
การไม่ฉวยโอกาสกระทืบเด็กเกเร แต่ใช้การรวบรวมหลักฐานในสิ่งที่เขมรทำเกินเลยกับไทยไปอธิบาย ไปบอก ไปแสดงกับนานาชาติผ่านเวทีโลก ดูจะได้รับความเชื่อถือ ด้วยความเห็นใจและเข้าใจจากนานาชาติยิ่งขึ้น ตลอดถึงสื่อมวลชนที่เข้าไปทำข่าวในพื้นที่จริง
ประเทศที่หนุนหลังเขมร เพราะมีผลประโยชน์ทางธุรกิจแอบแฝงกันอยู่ เที่ยวนี้ดูจะหน่ายและระอากับฮุน เซน มากขึ้นทุกที เพราะฮุน เซน เอาพวกเขาแบขายกลางตลาดมากเกินไป เช่น ยังไม่ทันไรก็วิ่งโร่เอาเรื่องไปฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เป็นต้น ทำให้ชาวโลกเพ่งเล็งว่า
ฮุน เซน กับประเทศใน UNSC ในยูเนสโก ในคณะกรรมการมรดกโลก ต้องมีอะไรกันแน่?
ก็ตามที่เราคุยกันไปแต่วันแรกๆ นั่นแหละครับว่า นายกฯ ฮุน เซน ไม่ฉลาดเลยที่เล่นเกมถล่มไทย แล้วดันใช้ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นฐานการสู้รบ นั่นเท่ากับตัดทั้ง "หนทางตัวเอง" จะได้นำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และตัดทั้ง "หนทางช่วยเหลือ" จากประเทศพี่เบิ้มที่หนุนหลัง
เพราะการทำเช่นนั้น ผิดทั้งกฎบัตรสหประชาชาติ ผิดทั้งอนุสัญญามรดกโลก ปี พ.ศ.๒๕๑๓ ชัดแจ้ง สอดคล้องที่นายกฯ อภิสิทธิ์บอกวานซืน (๑๙ ก.พ.) ว่าได้โทรศัพท์คุยกับ "นางอีรินา โบโกวา" ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก และมีความเห็นตรงกันว่า
"แผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารยังไม่ควรเกิดขึ้น ตราบใดที่ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-เขมรยังมีอยู่"
ตรงนี้ก็เท่ากับ "หวยออก" ก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในเดือน มิ.ย.จะเริ่มด้วยซ้ำ ทั้งนี้ จะโทษใครไม่ได้ นอกจากคนที่ "โง่แล้วอวดหยิ่ง" ที่ชื่อ...ฮุน เซน!
เราต้องเข้าใจว่า อนุสัญญามรดกโลกที่ยูเนสโกจัดทำขึ้นนี้ ไม่มีอำนาจเหนืออธิปไตยของประเทศสมาชิก และการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของประเทศสมาชิก และประเทศสมาชิกจะเป็นผู้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณา
แต่กรณีปราสาทพระวิหารมันมีปัญหาคาบเกี่ยวดินแดน ๒ ประเทศ ดังนั้น การจะรับขึ้นทะเบียน คณะกรรมการมรดกโลก ก็ต้องยึดตามมาตราต่างๆ ของอนุสัญญาด้วย อย่างเช่น มาตรา ๑๑ (๓) บอกว่า
"กรณีที่วัตถุโบราณนั้นตั้งอยู่ในอาณาเขตในอำนาจอธิปไตยหรือเขตอำนาจ ซึ่งมีการอ้างมากกว่า ๑ ประเทศแล้ว การขอขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก ต้องไม่เป็นที่เสียหายแก่รัฐอีกฝ่ายหนึ่ง"
นี่ก็ชัดว่า ถ้าขึ้นทะเบียนให้เขมรฝ่ายเดียว ไทยคือ "รัฐอีกฝ่ายหนึ่ง" เสียหายแน่นอน แล้วจะขึ้นทะเบียนให้เขมรฝ่ายเดียวได้อย่างไร? ซ้ำยูเนสโกตอนนี้เริ่มละอาย รู้ตัวว่าการเป็น "ร่างทรง" ให้บางประเทศช่วยเขมร "ถูกจับได้" แถมที่ทำไปผิดมหันต์ถึงขั้น "เป็นต้นเหตุ" ให้ไทยกับเขมรต้องรบกัน คงจะไม่ดันทุรังอีก
ถ้าขืนดัน ยูเนสโกก็จะทำผิดอนุสัญญาเองอีกข้อ ที่ว่า "ฝ่ายขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกต้องจัดทำเขตกันชน"!
แล้วเขมร นอกจากตัวปราสาทโด่เด่แล้ว มี "พื้นที่โดยรอบ" ตรงไหนซักกะแบะที่จะทำเป็น "พื้นที่อนุรักษ์" รอบตัวปราสาท ขืนทำก็เท่ากับว่า ต้องรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรของไทยทำเป็นเขตกันชน ซึ่งก็ไม่ได้อีก
ฮุน เซน ก็เริ่มรู้ว่าประเทศที่อุ้มอยู่ เริ่มวางด้วยระอา จึงตีลูกพาล พยายามส่งกำลังทหารเข้ารุกพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร และยืนกระต่ายขาเดียว "อ้างสิทธิ" ว่าเป็นของเขาด้วย คือพยายามทำให้เกิดคำว่า "พื้นที่ทับซ้อน" เพื่อยื้อสิทธิ
และตอนนี้บ้าไปใหญ่ สวมวิญญาณเสื้อแดงจะยื่นฟ้องศาลโลก ให้ตีความว่าที่ศาลโลกระบุเฉพาะ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นของเขมรนั้น ช่วยตีความใหม่ทีเถอะว่า
รวมถึงพื้นที่โดยรอบ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรด้วยหรือเปล่า?
ครับ...ผมก็เก็บเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เพื่อเป็นฐานความเข้าใจในการตามเรื่องวันนี้ มีผลออกมาอย่างไรจะได้ไม่งง และก็คง "สามวา-สองศอก" ประมาณนั้น คือมาตรฐานประเทศเขมร ก็คือมาตรฐานนายกฯ ฮุน เซน การตัดสินใจทุกอย่างขึ้นอยู่กับฮุน เซน นายฮอร์ นัมฮง เป็นแต่ร่างทรงเท่านั้น ถึงแม้มีการตกลงวันนี้
ก็ไม่รู้ว่า พรุ่งนี้นายกฯ ฮุน เซน จะเปลี่ยนไปอย่างใดอีก?
ดังนั้น การเดินแต้มของไทย ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ผมเห็นว่าครั้งนี้ทำการบ้านมาดี มีความตั้งใจดี บนฐานนโยบายใหม่ของรัฐบาลที่ไม่แอบแฝงเอาประเทศไปแลกผลประโยชน์ส่วนตนกับเขมรเหมือนผู้นำในอดีตบางคน จึงเชื่อได้ว่า การเคารพต่อเพื่อน ต่ออาเซียน ต่อยูเอ็น ด้วยวุฒิภาวะผู้ใหญ่
ไทยมีแต่ได้ ไม่มีเสีย!
แล้วไทยมีแผนอะไรเป็นทางออกเสนอต่อเขมร ต่ออาเซียน ต่อยูเอ็น กระทั่งต่อยูเนสโก ในเรื่องนี้บ้างล่ะครับ?
ด้วยเห็นแต่สันติภาพ เห็นแก่ความเป็นบ้านที่ดีอย่างเขมร และด้วยเอื้อเฟื้อต่อมนุษยชาติ บนหลักการ บนปรัชญาของมรดกโลก สิ่งที่จะเป็นมรดกโลก หมายถึงสมบัติกลางของมนุษยชาติที่จะได้ชื่นชมร่วมกัน กรณีปราสาทพระวิหารนี้ ไม่ใช่ของไทย ไม่ใช่ของเขมร แต่เป็นของมนุษยชาติทั้งมวล
ดังนั้น เพื่อความสมบูรณ์ของการเป็นสมบัติมนุษยชาติให้สมนาม "มรดกโลก" ไทยก็ควรนำส่วนที่เป็นองค์ประกอบของปราสาทพระวิหารอันอยู่ในเขตไทย เช่น สระตราว สถูปคู่ โดนตวล ภาพสลักนูนต่ำ กระทั่งพื้นที่รอบ ๔.๖ ตารางกิโลมตร เสนอให้นำไปผนวกรวมกับตัวปราสาทพระวิหารในเขตเขมร
แล้วไทย-เขมรมากำหนดเขตตรงนี้กันใหม่ ยกขึ้นเป็น "นครแห่งสันติภาพไทย-เขมร" นำขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน พร้อมทั้งจัดตั้งองค์กรบริหารพื้นที่สันติภาพ ๒ ประเทศร่วมกัน มีกฎหมายร่วมใช้เฉพาะนครสันติภาพนี้
ทุกปัญหาล้วนมีทางออก ก่อนอื่นเราต้องตั้งทัศนคติให้ตรง และต้องแยกระหว่างความเป็นประเทศเขมร ออกจากตัวนายกฯ ฮุน เซน ทุกวันนี้เรามองเขมรผ่านตัวฮุน เซน เราไม่ชอบพฤติกรรมฮุน เซน เลยเหมาว่าพี่น้องเขมรทุกคนเป็นเหมือนฮุน เซน
แต่ในความเป็นจริง ประชาชน ๒ ประเทศต้องคบค้าสมาคมกันตลอดกาล ส่วนผู้นำ เช่น ฮุน เซน หรืออภิสิทธิ์ แค่ชั่วครั้ง-ชั่วคราว ฉะนั้น การแก้ปัญหาต้องยึดอนาคต ยึดประชาชนเป็นตัวตั้ง แล้วจะแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
เราต้องไม่ลืมว่า เมื่ออดีต เขมร-ไทย-ลาว เป็นแผ่นดินผืนเดียวกัน เพราะต่างชาติคือ "ฝรั่งเศส-อังกฤษ" เข้ามาแบ่งแยก เอาเขมร-ลาว-ญวน ผนวกเป็นแผ่นดินอินโดจีน ส่วนไทยเรา ด้วยพระอัจฉริยภาพ และด้วยพระสยามเทวาธิราช จึงดำรงคงเอกลักษณ์แห่งเอกราชไทยอยู่ได้
และในอนาคต ผมประเมินแล้ว ไทย-เขมร-ลาว กระทั่งจีนตอนใต้ พม่า และญวน ซึ่งมีต้นรากมาทางเดียวกัน ความคิดไม่ต่างกัน ศาสนาเดียวกัน วัฒนธรรม-ประเพณีคล้ายกัน มีแต่ต้อง "รวมกันอยู่" เท่านั้นจึงจะใหญ่ และรวมกันได้สนิทแน่นกว่า แน่นอนกว่าตามแผนรวมอาเซียน
การกลับมารวมกันระหว่างไทย-เขมร หรือ ๖ ประเทศในกลุ่มอนุภาคลุ่มน้ำโขง ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในอดีตก็เป็นแผ่นดินผืนเดียวกันอยู่แล้ว แต่มีอันต้องแตกจากพรากพลัดกันไป และเมื่อถึงกาลหนึ่ง จะกลับมาผนึกรวมกันอีกครั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ใดใดในโลกล้วนอนิจจังครับ.
ขอบคุณ : Thaipost.net
ทำไป-ทำมา เลเพลาดพาด ด่า "อาเซียน" ส่งเดชเลยว่า...มีน้ำยาอะไรที่คนอย่างเขาจะต้องฟัง ระดับเขา...โน่น ต้องยูเอ็น หรือศาลโลกเท่านั้น จึงจะคู่ควร!?
ผมน่ะสงสาร "นายฮอร์ นัมฮง" รัฐมนตรีต่างประเทศเขมร ท่านคงเวียนหัวน่าดู กับการที่มีลูกพี่ด้อย "วุฒิภาวะทางสมอง" หลงตัว-หลงตน แถมไม่อยู่กะร่อง-กะรอยเช่นนี้ แล้วท่านต้องเต้นตาม จนมีภาพเป็น มิสเตอร์ "ดันทุรังสูง" ตามไปด้วย
สำหรับไทยเรา ตั้งแต่เกิดเรื่อง ๔ กุมภา เขมรใช้ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นฐานปฏิบัติการ ยิงตูมตามเข้ามาจนบ้านเรือนฝั่งไทยไฟลุกท่วมพังพินาศ ผู้คนล้มตายไปตามๆ กัน
และทั้งระดับกองทัพ ระดับรัฐบาล ระดับกระทรวงการต่างประเทศ ก็แสดงการรับรู้ต่อความก้าวร้าว-หยาบคายของเพื่อนบ้านด้วยความอดทน-อดกลั้น บ่งถึงความเป็นผู้มีวุฒิภาวะ และมืออาชีพให้เห็น จะตอบโต้ก็ตอบโต้ในลักษณะตักเตือน "หมากัด-ไม่ลงไปฟัดกะหมา"
ยึดสันติ ไม่ทะเลาะเป็นที่ตั้ง!
การไม่ฉวยโอกาสกระทืบเด็กเกเร แต่ใช้การรวบรวมหลักฐานในสิ่งที่เขมรทำเกินเลยกับไทยไปอธิบาย ไปบอก ไปแสดงกับนานาชาติผ่านเวทีโลก ดูจะได้รับความเชื่อถือ ด้วยความเห็นใจและเข้าใจจากนานาชาติยิ่งขึ้น ตลอดถึงสื่อมวลชนที่เข้าไปทำข่าวในพื้นที่จริง
ประเทศที่หนุนหลังเขมร เพราะมีผลประโยชน์ทางธุรกิจแอบแฝงกันอยู่ เที่ยวนี้ดูจะหน่ายและระอากับฮุน เซน มากขึ้นทุกที เพราะฮุน เซน เอาพวกเขาแบขายกลางตลาดมากเกินไป เช่น ยังไม่ทันไรก็วิ่งโร่เอาเรื่องไปฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เป็นต้น ทำให้ชาวโลกเพ่งเล็งว่า
ฮุน เซน กับประเทศใน UNSC ในยูเนสโก ในคณะกรรมการมรดกโลก ต้องมีอะไรกันแน่?
ก็ตามที่เราคุยกันไปแต่วันแรกๆ นั่นแหละครับว่า นายกฯ ฮุน เซน ไม่ฉลาดเลยที่เล่นเกมถล่มไทย แล้วดันใช้ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นฐานการสู้รบ นั่นเท่ากับตัดทั้ง "หนทางตัวเอง" จะได้นำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และตัดทั้ง "หนทางช่วยเหลือ" จากประเทศพี่เบิ้มที่หนุนหลัง
เพราะการทำเช่นนั้น ผิดทั้งกฎบัตรสหประชาชาติ ผิดทั้งอนุสัญญามรดกโลก ปี พ.ศ.๒๕๑๓ ชัดแจ้ง สอดคล้องที่นายกฯ อภิสิทธิ์บอกวานซืน (๑๙ ก.พ.) ว่าได้โทรศัพท์คุยกับ "นางอีรินา โบโกวา" ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก และมีความเห็นตรงกันว่า
"แผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารยังไม่ควรเกิดขึ้น ตราบใดที่ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-เขมรยังมีอยู่"
ตรงนี้ก็เท่ากับ "หวยออก" ก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในเดือน มิ.ย.จะเริ่มด้วยซ้ำ ทั้งนี้ จะโทษใครไม่ได้ นอกจากคนที่ "โง่แล้วอวดหยิ่ง" ที่ชื่อ...ฮุน เซน!
เราต้องเข้าใจว่า อนุสัญญามรดกโลกที่ยูเนสโกจัดทำขึ้นนี้ ไม่มีอำนาจเหนืออธิปไตยของประเทศสมาชิก และการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของประเทศสมาชิก และประเทศสมาชิกจะเป็นผู้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณา
แต่กรณีปราสาทพระวิหารมันมีปัญหาคาบเกี่ยวดินแดน ๒ ประเทศ ดังนั้น การจะรับขึ้นทะเบียน คณะกรรมการมรดกโลก ก็ต้องยึดตามมาตราต่างๆ ของอนุสัญญาด้วย อย่างเช่น มาตรา ๑๑ (๓) บอกว่า
"กรณีที่วัตถุโบราณนั้นตั้งอยู่ในอาณาเขตในอำนาจอธิปไตยหรือเขตอำนาจ ซึ่งมีการอ้างมากกว่า ๑ ประเทศแล้ว การขอขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก ต้องไม่เป็นที่เสียหายแก่รัฐอีกฝ่ายหนึ่ง"
นี่ก็ชัดว่า ถ้าขึ้นทะเบียนให้เขมรฝ่ายเดียว ไทยคือ "รัฐอีกฝ่ายหนึ่ง" เสียหายแน่นอน แล้วจะขึ้นทะเบียนให้เขมรฝ่ายเดียวได้อย่างไร? ซ้ำยูเนสโกตอนนี้เริ่มละอาย รู้ตัวว่าการเป็น "ร่างทรง" ให้บางประเทศช่วยเขมร "ถูกจับได้" แถมที่ทำไปผิดมหันต์ถึงขั้น "เป็นต้นเหตุ" ให้ไทยกับเขมรต้องรบกัน คงจะไม่ดันทุรังอีก
ถ้าขืนดัน ยูเนสโกก็จะทำผิดอนุสัญญาเองอีกข้อ ที่ว่า "ฝ่ายขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกต้องจัดทำเขตกันชน"!
แล้วเขมร นอกจากตัวปราสาทโด่เด่แล้ว มี "พื้นที่โดยรอบ" ตรงไหนซักกะแบะที่จะทำเป็น "พื้นที่อนุรักษ์" รอบตัวปราสาท ขืนทำก็เท่ากับว่า ต้องรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรของไทยทำเป็นเขตกันชน ซึ่งก็ไม่ได้อีก
ฮุน เซน ก็เริ่มรู้ว่าประเทศที่อุ้มอยู่ เริ่มวางด้วยระอา จึงตีลูกพาล พยายามส่งกำลังทหารเข้ารุกพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร และยืนกระต่ายขาเดียว "อ้างสิทธิ" ว่าเป็นของเขาด้วย คือพยายามทำให้เกิดคำว่า "พื้นที่ทับซ้อน" เพื่อยื้อสิทธิ
และตอนนี้บ้าไปใหญ่ สวมวิญญาณเสื้อแดงจะยื่นฟ้องศาลโลก ให้ตีความว่าที่ศาลโลกระบุเฉพาะ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นของเขมรนั้น ช่วยตีความใหม่ทีเถอะว่า
รวมถึงพื้นที่โดยรอบ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรด้วยหรือเปล่า?
ครับ...ผมก็เก็บเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เพื่อเป็นฐานความเข้าใจในการตามเรื่องวันนี้ มีผลออกมาอย่างไรจะได้ไม่งง และก็คง "สามวา-สองศอก" ประมาณนั้น คือมาตรฐานประเทศเขมร ก็คือมาตรฐานนายกฯ ฮุน เซน การตัดสินใจทุกอย่างขึ้นอยู่กับฮุน เซน นายฮอร์ นัมฮง เป็นแต่ร่างทรงเท่านั้น ถึงแม้มีการตกลงวันนี้
ก็ไม่รู้ว่า พรุ่งนี้นายกฯ ฮุน เซน จะเปลี่ยนไปอย่างใดอีก?
ดังนั้น การเดินแต้มของไทย ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ผมเห็นว่าครั้งนี้ทำการบ้านมาดี มีความตั้งใจดี บนฐานนโยบายใหม่ของรัฐบาลที่ไม่แอบแฝงเอาประเทศไปแลกผลประโยชน์ส่วนตนกับเขมรเหมือนผู้นำในอดีตบางคน จึงเชื่อได้ว่า การเคารพต่อเพื่อน ต่ออาเซียน ต่อยูเอ็น ด้วยวุฒิภาวะผู้ใหญ่
ไทยมีแต่ได้ ไม่มีเสีย!
แล้วไทยมีแผนอะไรเป็นทางออกเสนอต่อเขมร ต่ออาเซียน ต่อยูเอ็น กระทั่งต่อยูเนสโก ในเรื่องนี้บ้างล่ะครับ?
ด้วยเห็นแต่สันติภาพ เห็นแก่ความเป็นบ้านที่ดีอย่างเขมร และด้วยเอื้อเฟื้อต่อมนุษยชาติ บนหลักการ บนปรัชญาของมรดกโลก สิ่งที่จะเป็นมรดกโลก หมายถึงสมบัติกลางของมนุษยชาติที่จะได้ชื่นชมร่วมกัน กรณีปราสาทพระวิหารนี้ ไม่ใช่ของไทย ไม่ใช่ของเขมร แต่เป็นของมนุษยชาติทั้งมวล
ดังนั้น เพื่อความสมบูรณ์ของการเป็นสมบัติมนุษยชาติให้สมนาม "มรดกโลก" ไทยก็ควรนำส่วนที่เป็นองค์ประกอบของปราสาทพระวิหารอันอยู่ในเขตไทย เช่น สระตราว สถูปคู่ โดนตวล ภาพสลักนูนต่ำ กระทั่งพื้นที่รอบ ๔.๖ ตารางกิโลมตร เสนอให้นำไปผนวกรวมกับตัวปราสาทพระวิหารในเขตเขมร
แล้วไทย-เขมรมากำหนดเขตตรงนี้กันใหม่ ยกขึ้นเป็น "นครแห่งสันติภาพไทย-เขมร" นำขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน พร้อมทั้งจัดตั้งองค์กรบริหารพื้นที่สันติภาพ ๒ ประเทศร่วมกัน มีกฎหมายร่วมใช้เฉพาะนครสันติภาพนี้
ทุกปัญหาล้วนมีทางออก ก่อนอื่นเราต้องตั้งทัศนคติให้ตรง และต้องแยกระหว่างความเป็นประเทศเขมร ออกจากตัวนายกฯ ฮุน เซน ทุกวันนี้เรามองเขมรผ่านตัวฮุน เซน เราไม่ชอบพฤติกรรมฮุน เซน เลยเหมาว่าพี่น้องเขมรทุกคนเป็นเหมือนฮุน เซน
แต่ในความเป็นจริง ประชาชน ๒ ประเทศต้องคบค้าสมาคมกันตลอดกาล ส่วนผู้นำ เช่น ฮุน เซน หรืออภิสิทธิ์ แค่ชั่วครั้ง-ชั่วคราว ฉะนั้น การแก้ปัญหาต้องยึดอนาคต ยึดประชาชนเป็นตัวตั้ง แล้วจะแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
เราต้องไม่ลืมว่า เมื่ออดีต เขมร-ไทย-ลาว เป็นแผ่นดินผืนเดียวกัน เพราะต่างชาติคือ "ฝรั่งเศส-อังกฤษ" เข้ามาแบ่งแยก เอาเขมร-ลาว-ญวน ผนวกเป็นแผ่นดินอินโดจีน ส่วนไทยเรา ด้วยพระอัจฉริยภาพ และด้วยพระสยามเทวาธิราช จึงดำรงคงเอกลักษณ์แห่งเอกราชไทยอยู่ได้
และในอนาคต ผมประเมินแล้ว ไทย-เขมร-ลาว กระทั่งจีนตอนใต้ พม่า และญวน ซึ่งมีต้นรากมาทางเดียวกัน ความคิดไม่ต่างกัน ศาสนาเดียวกัน วัฒนธรรม-ประเพณีคล้ายกัน มีแต่ต้อง "รวมกันอยู่" เท่านั้นจึงจะใหญ่ และรวมกันได้สนิทแน่นกว่า แน่นอนกว่าตามแผนรวมอาเซียน
การกลับมารวมกันระหว่างไทย-เขมร หรือ ๖ ประเทศในกลุ่มอนุภาคลุ่มน้ำโขง ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในอดีตก็เป็นแผ่นดินผืนเดียวกันอยู่แล้ว แต่มีอันต้องแตกจากพรากพลัดกันไป และเมื่อถึงกาลหนึ่ง จะกลับมาผนึกรวมกันอีกครั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ใดใดในโลกล้วนอนิจจังครับ.
ขอบคุณ : Thaipost.net
เด็กล้วงคอ"สทศ."แฮ็กเว็บไซต์
สทศ.โดนแฮ็กเว็บไซต์ เด็กมือดีวาดการ์ตูนเล่นๆ ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า "สัมพันธ์" ยอมรับถูกหยาม แต่ยังย้ำดูแลระบบข้อมูลนักเรียนได้แน่นอน แถมระบบป้องกันรัดกุม "ไชยยศ" ไม่วางใจ สั่ง สทศ.ตามดมกลิ่นมือดี พร้อมเรียกบริษัทเอาต์ซอร์สวางระบบป้องกันใหม่หวั่นเกิดเหตุซ้ำรอยอีก ด้านสอบโอเน็ตเด็กโต ชั้น ม.6 พบสามเณรทุจริต 1 ราย ให้เพื่อนเณรปลอมตัวมาสอบ พร้อมสอบรอบพิเศษ ม.6 สมัคร 22-28 ก.พ.
รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ). กล่าวยอมรับว่า เป็นความจริงที่มีกระแสข่าวว่าเว็บไซต์ของ สทศ.ถูกแฮ็กข้อมูล ตนได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่แล้วว่ามีการแฮ็กข้อมูลเข้ามาจริง แต่เป็นการแฮ็กข้อมูลเข้ามาหน้าเว็บไซต์ของ สทศ.เท่านั้น โดยเข้ามาในเวลา 23.00 น. ของวันที่ 20 ก.พ. ถึงเวลา 01.00 น. ของวันที่ 21 ก.พ. และช่วงเวลา 0.20 น. เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบก็ได้สั่งปิดหน้าเว็บไซต์ทันที พร้อมทั้งมีการเปลี่ยนข้อมูลที่จะเข้าระบบใหม่ เนื่องจากทราบว่าคนที่เข้ามานั้นใช้วิธีสุ่มข้อมูลที่จะเข้าระบบ โดยเจ้าหน้ารายงานอีกว่า เบื้องต้นคนที่แฮ็กเข้ามาได้วาดรูปการ์ตูนหน้าเว็บไซต์ของ สทศ.เท่านั้น โดยไม่ได้เข้ามาแก้ไขข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น
"ผมยืนยันว่า สทศ.มีระบบป้องกันข้อมูลของนักเรียนอย่างดี ดังนั้นไม่มีใครสามารถเข้ามาแก้ไขข้อมูลได้แน่นอน ดังนั้นฝากนักเรียนไม่ต้องกังวล ส่วนสาเหตุที่มีคนเข้ามาแฮ็กข้อมูลครั้งนี้น่าจะเกิดจากอยากลองวิชา และเท่าที่ทราบมีเกือบทุกปี แต่ สทศ.ป้องกันได้ อีกทั้งผมได้สั่งเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งจำกัดคนที่จะมาดูข้อมูลหน้าเว็บไซต์ของ สทศ.มากขึ้น จากที่เดิมจะดูหลายคนก็จะจำกัดคน และที่สำคัญ สทศ.ประสานขอความร่วมมือจากกระทรวงไอซีทีมาตามจับคนที่เข้ามาแฮ็กข้อมูล เพื่อจะได้นำมาลงโทษให้ถึงที่สุด เนื่องจากทำผิดกฎหมาย" รศ.ดร.สัมพันธ์กล่าว
ด้านนายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ตนได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้วยืนยันว่าข้อมูลไม่ได้ถูกแฮ็ก 100% เป็นเพียงการแฮ็กข้อมูลเข้ามาหน้าเว็บไซต์ของ สทศ.เท่านั้น อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้ สทศ.ตรวจสอบว่าเป็นฝีมือใครเพื่อลงโทษต่อไป พร้อมทั้งได้สั่งการให้เรียกบริษัทที่ทำข้อมูล outsource มาวางระบบการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก
ส่วนจัดสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต ปีการศึกษา 2553 สำหรับนักเรียน ม.6 พร้อมกันทั่วประเทศ วันที่ 19-20 ก.พ.ที่ผ่านมา นายสัมพันธ์กล่าวว่า สทศ.ได้ทำการตรวจเยี่ยมสนามสอบและสอบถามศูนย์สอบ จำนวน 19 ศูนย์ทั่วประเทศ พบว่า ในภาพรวมการจัดสอบเรียบร้อยดี แต่เบื้องต้นมีการรายงานจากสนามสอบโรงเรียนหนองเรือวิทยา จ.ขอนแก่น ศูนย์สอบมหาวิทยาลัยขอนแก่น พบมีการทุจริต 1 ราย สอบวิชาสังคมศึกษา วันที่ 19 ก.พ. โดยเป็นสามเณรมาสอบแทนเพื่อนที่เป็นสามเณรด้วยกัน โดยมีการปลอมแปลงบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ โดยผู้เข้าสอบนำรูปตนเองมาติดแทน แต่กรรมการคุมสอบจับได้ โดยดูจากลายเซ็นชื่อของผู้เข้าสอบกับลายเซ็นที่บัตรประจำตัวผู้เข้าสอบซึ่งไม่ตรงกัน เนื่องจากเณรที่มาสอบแทนได้เซ็นชื่อของตนเองแทนผู้มีสิทธิ์สอบ
นอกจากนี้ เบื้องต้นพบว่ามีการทำผิดระเบียบ 2 ราย คือ ศูนย์สอบมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช 1 ราย และสนามสอบโรงเรียนกัลยาณี 1 ราย โดย 2 รายได้นำโทรศัพท์เข้าห้องสอบวิชาคณิตศาสตร์ และระหว่างที่ทำข้อสอบโทรศัพท์ดังขึ้น แต่เด็กยังไม่ได้รับ กรรมการคุมสอบจับได้ก่อนและให้ออกจากห้องสอบทันที และจากนี้สนามสอบทั้งหมดจะต้องรายงานข้อมูลเป็นลายอักษรเสนอศูนย์สอบที่รับผิดชอบ และส่งมาที่ สทศ.เพื่อนำเสนอคณะกรรมกรรมการบริหาร สทศ. ตัดสินลงโทษต่อไป
ส่วนกำหนดจัดสอบโอเน็ตรอบพิเศษสำหรับนักเรียน ม.6 โดยสมัครสอบทางไปรษณีย์ และสมัครด้วยตนเองที่ สทศ. วันที่ 22-28 ก.พ. สอบวันที่ 14-15 มี.ค. ประกาศผลสอบวันที่ 10 เม.ย. ทั้งนี้นักเรียนที่จะสมัครสอบรอบพิเศษจะต้องเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ โดยเหตุสุดวิสัยจะรวมไปถึงกรณีจากเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนด้วย แต่ที่สำคัญผู้สมัครจะต้องมีหลักฐานมาแสดง โดยมีใบรับรองแพทย์ ใบรับรองจากทางโรงเรียน และนักเรียนจะต้องดาวน์โหลดใบสมัครทางเว็บไซต์ สทศ. ทั้งนี้การสมัครจะต้องเสียค่าสมัครวิชาละ 100 บาท แต่ยกเว้นค่ามัดจำ 300 บาท
ที่มา : ไทยโพสต์
รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ). กล่าวยอมรับว่า เป็นความจริงที่มีกระแสข่าวว่าเว็บไซต์ของ สทศ.ถูกแฮ็กข้อมูล ตนได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่แล้วว่ามีการแฮ็กข้อมูลเข้ามาจริง แต่เป็นการแฮ็กข้อมูลเข้ามาหน้าเว็บไซต์ของ สทศ.เท่านั้น โดยเข้ามาในเวลา 23.00 น. ของวันที่ 20 ก.พ. ถึงเวลา 01.00 น. ของวันที่ 21 ก.พ. และช่วงเวลา 0.20 น. เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบก็ได้สั่งปิดหน้าเว็บไซต์ทันที พร้อมทั้งมีการเปลี่ยนข้อมูลที่จะเข้าระบบใหม่ เนื่องจากทราบว่าคนที่เข้ามานั้นใช้วิธีสุ่มข้อมูลที่จะเข้าระบบ โดยเจ้าหน้ารายงานอีกว่า เบื้องต้นคนที่แฮ็กเข้ามาได้วาดรูปการ์ตูนหน้าเว็บไซต์ของ สทศ.เท่านั้น โดยไม่ได้เข้ามาแก้ไขข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น
"ผมยืนยันว่า สทศ.มีระบบป้องกันข้อมูลของนักเรียนอย่างดี ดังนั้นไม่มีใครสามารถเข้ามาแก้ไขข้อมูลได้แน่นอน ดังนั้นฝากนักเรียนไม่ต้องกังวล ส่วนสาเหตุที่มีคนเข้ามาแฮ็กข้อมูลครั้งนี้น่าจะเกิดจากอยากลองวิชา และเท่าที่ทราบมีเกือบทุกปี แต่ สทศ.ป้องกันได้ อีกทั้งผมได้สั่งเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งจำกัดคนที่จะมาดูข้อมูลหน้าเว็บไซต์ของ สทศ.มากขึ้น จากที่เดิมจะดูหลายคนก็จะจำกัดคน และที่สำคัญ สทศ.ประสานขอความร่วมมือจากกระทรวงไอซีทีมาตามจับคนที่เข้ามาแฮ็กข้อมูล เพื่อจะได้นำมาลงโทษให้ถึงที่สุด เนื่องจากทำผิดกฎหมาย" รศ.ดร.สัมพันธ์กล่าว
ด้านนายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ตนได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้วยืนยันว่าข้อมูลไม่ได้ถูกแฮ็ก 100% เป็นเพียงการแฮ็กข้อมูลเข้ามาหน้าเว็บไซต์ของ สทศ.เท่านั้น อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้ สทศ.ตรวจสอบว่าเป็นฝีมือใครเพื่อลงโทษต่อไป พร้อมทั้งได้สั่งการให้เรียกบริษัทที่ทำข้อมูล outsource มาวางระบบการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก
ส่วนจัดสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต ปีการศึกษา 2553 สำหรับนักเรียน ม.6 พร้อมกันทั่วประเทศ วันที่ 19-20 ก.พ.ที่ผ่านมา นายสัมพันธ์กล่าวว่า สทศ.ได้ทำการตรวจเยี่ยมสนามสอบและสอบถามศูนย์สอบ จำนวน 19 ศูนย์ทั่วประเทศ พบว่า ในภาพรวมการจัดสอบเรียบร้อยดี แต่เบื้องต้นมีการรายงานจากสนามสอบโรงเรียนหนองเรือวิทยา จ.ขอนแก่น ศูนย์สอบมหาวิทยาลัยขอนแก่น พบมีการทุจริต 1 ราย สอบวิชาสังคมศึกษา วันที่ 19 ก.พ. โดยเป็นสามเณรมาสอบแทนเพื่อนที่เป็นสามเณรด้วยกัน โดยมีการปลอมแปลงบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ โดยผู้เข้าสอบนำรูปตนเองมาติดแทน แต่กรรมการคุมสอบจับได้ โดยดูจากลายเซ็นชื่อของผู้เข้าสอบกับลายเซ็นที่บัตรประจำตัวผู้เข้าสอบซึ่งไม่ตรงกัน เนื่องจากเณรที่มาสอบแทนได้เซ็นชื่อของตนเองแทนผู้มีสิทธิ์สอบ
นอกจากนี้ เบื้องต้นพบว่ามีการทำผิดระเบียบ 2 ราย คือ ศูนย์สอบมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช 1 ราย และสนามสอบโรงเรียนกัลยาณี 1 ราย โดย 2 รายได้นำโทรศัพท์เข้าห้องสอบวิชาคณิตศาสตร์ และระหว่างที่ทำข้อสอบโทรศัพท์ดังขึ้น แต่เด็กยังไม่ได้รับ กรรมการคุมสอบจับได้ก่อนและให้ออกจากห้องสอบทันที และจากนี้สนามสอบทั้งหมดจะต้องรายงานข้อมูลเป็นลายอักษรเสนอศูนย์สอบที่รับผิดชอบ และส่งมาที่ สทศ.เพื่อนำเสนอคณะกรรมกรรมการบริหาร สทศ. ตัดสินลงโทษต่อไป
ส่วนกำหนดจัดสอบโอเน็ตรอบพิเศษสำหรับนักเรียน ม.6 โดยสมัครสอบทางไปรษณีย์ และสมัครด้วยตนเองที่ สทศ. วันที่ 22-28 ก.พ. สอบวันที่ 14-15 มี.ค. ประกาศผลสอบวันที่ 10 เม.ย. ทั้งนี้นักเรียนที่จะสมัครสอบรอบพิเศษจะต้องเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ โดยเหตุสุดวิสัยจะรวมไปถึงกรณีจากเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนด้วย แต่ที่สำคัญผู้สมัครจะต้องมีหลักฐานมาแสดง โดยมีใบรับรองแพทย์ ใบรับรองจากทางโรงเรียน และนักเรียนจะต้องดาวน์โหลดใบสมัครทางเว็บไซต์ สทศ. ทั้งนี้การสมัครจะต้องเสียค่าสมัครวิชาละ 100 บาท แต่ยกเว้นค่ามัดจำ 300 บาท
ที่มา : ไทยโพสต์
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
"น้ำดื่ม" สงครามกำไรและความเชื่อ
โลกธุรกิจเมืองไทย น้ำดื่มมีมูลค่าตลาดสูงถึง 19,000 ล้านบาท และยังโตต่อเนื่องทุกปี ปีที่แล้วโต 30 เปอร์เซ็นต์ และปีนี้ประมาณการว่าจะโตอีกไม่ต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ถึงสงครามแย่งชิงน้ำยังไม่เกิด แต่สงครามในธุรกิจน้ำดื่มบ้านเราเกิดขึ้นมาสักพักแล้ว
การเข้าสัประยุทธ์เพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าตลาดน้ำดื่มของบริษัทต่างๆ ในขณะนี้ คงไม่ใช่เพราะตัวเลขที่เย้ายวนเพียงอย่างเดียว ยังมีปัจจัยทางธุรกิจ สังคม และกฎหมายที่บีบคั้น ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดน้ำดื่มดุเดือดกว่าในอดีต แต่ที่ชวนวิงเวียนคือตัวผู้บริโภค ที่กลายเป็นทั้งผู้ได้รับความสะดวกสบายและกลายเป็นเหยื่อของวาทกรรมไปพร้อมๆ กัน
น้ำขวด-สงครามการตลาด
สภาพเมืองที่เราพักพิงไม่ทำให้สร้างความมั่นใจได้เลยว่า น้ำฝน น้ำในแม่น้ำลำคลอง จะสะอาดปลอดภัยพอจะเทใส่ปาก ยิ่งในกรุงเทพฯ ที่สภาพแวดล้อมปกคลุกด้วยหมอกควันจากรถยนต์ต่อให้น้ำฝนหล่นจากฟ้าก็ไม่มีใครกล้าดื่ม วิถีชีวิตอันเร่งรีบก็ไม่เอื้อให้คอยรองน้ำฝนหรือต้มน้ำดื่มเช่นในอดีตอีกต่อไป ช่องว่างตรงนี้จึงถูกเติมเต็มด้วยน้ำดื่มบรรจุขวดที่มาพร้อมความสะดวกสบายและความสะอาดที่ถูกการันตี
“มันเป็นเรื่องของความสะดวกสบายและหาซื้อง่าย เดี๋ยวนี้เดินเข้าร้านสะดวกซื้อหรือร้านขายของชำทั่วไปก็สามารถหาซื้อได้ ส่วนเรื่องความสะอาด เชื่อว่าน้ำบรรจุขวดพวกนี้น่าจะสะอาดพอสมควร แต่ถ้าซื้อดื่มเองก็จะเลือกดื่มบางยี่ห้อ เลือกที่มันผ่านการออสโมซิสมาแล้ว” ณัฐินี คงสนิท พนักงานบริษัทเอกชน พูดถึงเหตุผลที่ตัดสินใจซื้อน้ำบรรจุขวด
จากน้ำดื่มขวดขุ่นที่ ‘โพลาริส’ เคยเป็นเจ้าตลาด แต่ปัจจุบันเหลือแค่ความทรงจำ เปลี่ยนเป็นน้ำดื่มขวด PET ที่เดิมทีมีเพียงเจ้าใหญ่เพียงเจ้าเดียว ก็เริ่มมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น
รศ.ดร.ธีรยุส วัฒนาศุภโชค รองคณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงธุรกิจน้ำดื่มที่กำลังเป็นที่ตื่นตัวอยู่ในขณะนี้ว่าไ ม่ได้เป็นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นกระแสที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะยอดการดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 2-3 ปี พบว่าตกลงอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้บริษัทต่างๆ ต้องหาธุรกิจอื่นมาเสริม น้ำดื่มเพื่อสุขภาพจึงเกิดขึ้นอย่างมากมายในตลาดโลก
ในไทยก็ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เจอกับมาตรการทางกฎหมายหนักหน่วงก็ยิ่งต้องดิ้นรนเอาตัวรอด
"ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าตลาดแอลกอฮอล์คงไม่โตไปกว่านี้แล้ว เพราะคนรุ่นใหม่ดื่มแอลกอฮอล์น้อยกว่าคนรุ่นเก่า และในรูปแบบของการตลาดเองก็ถือจำกัดด้วยข้อกฎหมาย ตลาดก็เลยไม่เติบโต ดังนั้น เพื่อสร้างความสมดุลของผลผลิตในระยะยาวจึงต้องขยายไปที่กลุ่ม non-alcohol ซึ่งตลาดที่เติบโตสุดก็คือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ"
และถ้ามองในแง่การต่อยอดคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ธุรกิจตรงนี้มีโอกาสขยายตัวมากกว่าธุรกิจดั้งเดิม เพราะไม่ว่าจะเป็นการทำซีเอสอาร์หรือกิจกรรมอีเวนต์ ข้อดีที่เห็นได้ชัดก็คือ การยกระดับภาพลักษณ์โดยรวมของผลิตภัณฑ์ให้เกิดขึ้นด้วย จนนำไปสู่ความภักดีในตราสินค้า (Brand Loyalty) ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ธีรยุส ก็มองว่าการรุกเข้าสู่ตลาดน้ำดื่มของบริษัทแอลกอฮอล์และบริษัทอื่นๆ ยังมีข้อจำกัด เพราะทุกวันนี้แต่ละแห่งต่อสู้แค่ในเรื่องของราคา และขนาดของบรรจุภัณฑ์เท่านั้น ทำให้ความแปลกใหม่ของตลาดนี้ยังไม่เกิดขึ้นเท่าที่ควร
แต่ในอนาคตก็เชื่อว่า การแข่งขันก็น่าจะรุนแรงและมีการพัฒนามากขึ้นกว่านี้แน่นอน โดยเฉพาะในแง่ภาพลักษณ์ บรรจุภัณฑ์ และคุณสมบัติของตัวผลิตภัณฑ์ ที่น้ำดื่มคงไม่ใช่แค่น้ำเปล่าธรรมดา แต่จะมีการเพิ่มสรรพคุณต่างๆ ลงไป เช่น ในญี่ปุ่นมีการผลิตน้ำเปล่าผสมออกซเจินมากกว่าปกติ 1,000 เท่า ที่โฆษณาว่าเป็นซูเปอร์ วอเทอร์ (Super Water) เมื่อดื่มแล้วร่างกายสามารถนำไปเผาผลาญให้พลังงานได้ดีกว่า เป็นต้น
น้ำประปาดื่มได้...หรือเปล่าไม่รู้
ในมุมของผู้บริโภค น่าคิดไม่น้อยว่าค่าใช้จ่ายการซื้อน้ำดื่มบริโภคต่อครัวเรือนจะสูงแค่ไหน มิพักต้องเอ่ยถึงต้นทุนที่โลกต้องแบกรับจากขวดพลาสติกอันท่วมท้น แล้วจะตั้งคำถามได้หรือไม่ว่า น้ำดื่มซึ่งเป็นสาธารณูปโภคอย่างหนึ่งที่รัฐมีหน้าที่จัดหาให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะน้ำประปา จึงไม่สามารถอุดช่องว่างตรงนี้ได้
ชุตินันท์ ฐิตินันท์ นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้เหตุผลในการเลือกซื้อน้ำบรรจุขวดดื่มมากกว่าที่จะเลือกดื่มน้ำประปาว่า
“รู้สึกว่าน้ำประปามันไม่สะอาด อย่างที่บ้านก็ใช้เครื่องกรองน้ำก่อนถึงจะเอามาดื่ม หรือถ้าวันไหนขยันหน่อยก็จะเอาน้ำมาต้มก่อน แต่วิธีการนี้มันก็ยุ่งยากไปหน่อย ต้องคนมีเวลาจริงๆ”
ทั้งที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เคยมีงานศึกษาที่ระบุว่า คุณภาพและความสะอาดของน้ำประปาไม่ได้ด้อยไปกว่าน้ำดื่มบรรจุขวดเลย ยิ่งน้ำดื่มบรรจุขวดประเภทขวดขุ่นที่ยังมีขายในตลาดท้องถิ่นด้วยแล้ว บางยี่ห้อคุณภาพต่ำกว่าน้ำประปา ไม่ก็กรอกน้ำประปามาขายด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนคำโฆษณาเรื่องความสะอาด หรือแม้แต่สิ่งนามธรรมอย่างความดูดี ความสดชื่น ความมีสไตล์ ความดีงาม จะตะล่อมให้ผู้บริโภคยอมควักกระเป๋าซื้อได้ง่ายๆ
ผศ.ดร.จงจินต์ ผลประเสริฐ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมสุขาภิบาล คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ก่อนหน้านี้ไลฟ์สไตล์ของคนไทยยังไม่ค่อยมีความกังวลเรื่องสุขภาพมาก แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปจึงทำให้พฤติกรรมการดื่มน้ำเปลี่ยนไปด้วย
และด้วยความเข้าใจที่เคยชินและเคยรับรู้มาว่าน้ำประปาที่บอกว่าดื่มได้มีความสกปรก เช่น เคยพบสัตว์น้ำในน้ำประปาบ่อยๆ ก็เลยทำให้ความเชื่อมั่นที่จะดื่มน้ำประปาลดน้อยลงไปโดยปริยาย
“ความจริงมันก็ดื่มได้นะ แต่การรับรู้ที่ผ่านมาทำให้คนกลัวไปเยอะ ผมก็ไม่กล้าเหมือนกันต้องใช้เครื่องกรองน้ำ แต่จริงๆ น้ำประปากรุงเทพฯ สะอาดนะ แต่คนไม่นิยม นั่นเพราะอิมเมจในอดีต”
โครงการน้ำประปาดื่มได้จึงยังเป็นอะไรที่ไกลความจริงเนื่องจากปัญหาภาพลักษณ์ที่แก้ไม่ตก
“ถ้าจะให้ไปกดดื่มตามก๊อกสาธารณะที่เขาจัดไว้ให้ ก็ไม่กล้า มันดูไม่สะอาด” ชุตินันท์เล่าถึงความไม่ไว้ใจน้ำประปา
“อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าตั้งอยู่ตรงนั้น ผ่านอะไรมาบ้าง หนู แมลงสาบ เราว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของจิตใจมากกว่า อะไรที่เรารู้สึกว่าสะอาด เราก็อยากกิน อยากดื่ม แต่อะไรที่เรารู้สึกว่ามันไม่สะอาด ทั้งที่จริงมันอาจจะสะอาดก็ได้ แต่มันก็ทำให้เราไม่อยากดื่ม ก็ถ้ารัฐบาลจะพยายามให้ประชาชนหันมากล้าดื่มน้ำประปา รัฐบาลก็ควรจะสร้างความเชื่อมั่นให้ได้มากกว่านี้ค่ะ”
นั่นตรงกับข้อเสนอแนะที่ ผศ.ดร.จงจินต์ บอกก็คือ ต้องแก้ที่ภาพลักษณ์ ต้องทำให้คนยอมรับมากขึ้นว่าดื่มน้ำจากก๊อกก็ได้ ซึ่งจริงๆ ก็ดื่มได้
“ส่วนตัวเชื่อว่าดื่มได้ ไม่ได้สกปรก แต่ต้องแก้อิมเมจ เมื่อก่อนมีแต่ข่าว ทางเทคนิคอลน้ำประปาโอเค ดื่มได้ แต่เราก็ไม่กล้า ปัญหาที่ประชาชนไม่ดื่มน้ำจากก๊อกเป็นเพราะความเชื่อ และเป็นช่องทางของธุรกิจเขาอยู่แล้ว ตัวน้ำจริงๆ ไม่แย่ ของประปานครหลวงไม่แย่หรอก แต่ต่างจังหวัดไม่แน่ใจ เพราะไม่มีแหล่งยืนยัน”
สุดท้าย ผศ.ดร.จงจินต์บอกว่า
“เราต้องประชาสัมพันธ์เยอะขึ้น น้ำประปาดื่มได้ ต้องทำให้เข้าใจ และเป็นสิ่งที่น่าจะทำ ไม่ใช่ว่าเงียบๆ แล้วมาบอกว่าน้ำประปาดื่มได้”
………
เป็นไปได้ยากที่จะให้กลับไปรองน้ำฝนดื่มเหมือนอดีต พูดแบบไม่ลำเอียง น้ำดื่มบรรจุขวดก็ตอบสนองความสะดวกสบายของผู้คนได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้มีภาระหน้าที่ในการดูแลด้านสาธารณูปโภคจะไม่ต้องทำอะไร เพราะการสร้างทางเลือกอันหลากหลายแก่ผู้บริโภคย่อมดีกว่าการผูกขาด และจะดียิ่งขึ้นหากเราจะเลือกดื่มน้ำจากความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง มากกว่าความเชื่อ
ขอบคุณ : manager.co.th
วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ครอบครัวอินเดีย เมีย 39 ลูก 94
พ่อบ้านยันยังเพิ่มภรรยาได้อีก
เมื่อ 19 ก.พ. เดลี่เมล์รายงานเปิดตัวครอบครัวที่เชื่อว่าต้องสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก เนื่องจากหัวหน้าครอบครัวชาวอินเดียรายนี้ มีภรรยาถึง 39 คน ลูก 94 คน และหลาน 33 คน
หัวหน้าครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่อว่า ไซออนา ชนา อาศัยอยู่ในบ้านที่เป็นอาคารหลายชั้นบริเวณเนินเขาของหมู่บ้านพักตวัง ในรัฐมิโซรัม ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ภายในอาคาร บรรดาภรรยานอนอยู่ในห้องที่เป็นเหมือนโรงนอนชุมชนขนาดใหญ่ เมื่อนับสะใภ้ด้วยแล้ว ครอบครัวนี้มีสมาชิกทั้งหมด 181 คน
นายชนา กล่าวว่า "ทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าเป็นบุตรคนพิเศษของพระเจ้า พระองค์จึงส่งผู้คนมากมายมาให้ผมดูแล ผมรู้สึกว่าตนเองโชคดีมากที่มีภรรยาถึง 39 คนและมีครอบครัวใหญ่ที่สุดในโลก"
นายชนานับถือลัทธิที่สนับสนุนการขยายครอบครัว เคยมีปีหนึ่งแต่งภรรยาถึง 10 คนภายในเวลาปีเดียว นายชนากล่าวด้วยว่า ยังไม่หยุดมองหาภรรยาคนต่อไป และเพื่อขยายครอบครัวตามลัทธิ ก็ยินดีจะไปอเมริกาเพื่อแต่งเมียอีก
ด้านนางรินคมินี ภรรยาที่อายุ 35 ปี กล่าวว่า พวกภรรยาคอยดูแลสามี เพราะเป็นคนที่สำคัญที่สุดในบ้าน และหล่อที่สุดในหมู่บ้าน สำหรับตนพบกับนายชนาครั้งแรกเมื่อ 18 ปีก่อนตอนเดินเล่นในหมู่บ้านตอนเช้า จากนั้นนายชนาก็ส่งจดหมายมาขอแต่งงาน
ส่วนนางหรรธารกันคี ภรรยาอีกคนกล่าวว่า ครอบครัวมีระบบที่รักใคร่และกลมเกลียวกัน
ขอบคุณ : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
ใบเกิดสัญชาติผู้ดี ตู่เปิดแล้ว จี้มาร์คตอบสละยัง
เสื้อแดงร่วม 4หมื่นชุมนุมอนุสาวรีย์ประ ชาธิปไตย ฟังตู่แฉสัญ ชาติมาร์ค ส่วนกิจกรรมช่วงเช้ามีพิธีอาลัย 6 ศพวัดปทุมฯ เหยื่อร่วมรำลึกวันโดนไล่ยิง โดย 9 เดือนคดีไม่คืบ ส่วนช่วงบ่ายธิดานำเสื้อแดงเดินเท้าจากราชประสงค์ไปศาลฎีกา อ่าน จ.ม.แกนนำนปช.จากคุก ก่อนแยกย้ายไปรวมตัวกันตอนค่ำ ด้านมาร์คเจอถามให้ยืนยันถือสัญชาติไทยสัญชาติเดียว เจ้าตัวตอบว่า "ผมถือสัญชาติไทย"
บช.น.แจงดูแล 6 กลุ่มชุมนุม
เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกบช.น. กล่าวหลังการประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องที่ ศปก.น. เพื่อดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมต่างๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหว ว่า ผลการตั้งด่านตรวจต่างๆ ที่ผ่านมาเหตุการณ์เรียบร้อยดี มีเพียงการยึดรถต้องสงสัย 87 คันไว้ตรวจสอบหลักฐานต่างๆ จับกุมรถที่เตรียมแข่งตามความผิดพ.ร.บ.จราจร 73 ราย พก อาวุธมีด 1 ราย ยาเสพติด 3 ราย เยาวชนประพฤติตนไม่สมควรนำส่งกลับบ้าน 7 ราย และการพนัน 1 ราย
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ขณะนี้มีกลุ่มผู้ชุมนุมในกทม. ทั้งหมด 6 กลุ่ม 1.กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ อยู่บริเวณถนนพิษณุโลก ยอดผู้ชุมนุม 300 คน 2.กลุ่มพันธมิตรฯ ที่บริเวณถนนราชดำเนินและสะพานมัฆวานฯ มีประมาณ 300 คน 3.สมาพันธ์ชุมชนแห่งประเทศไทย ที่กระทรวงการคลัง ประมาณ 30 คน 4.กลุ่มลูกจ้างบริษัทแม็กซิส และพีซีบี ที่หน้ากระทรวงแรงงาน ประมาณ 1,000 คน 5.กลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เช่น เขื่อนปากมูล กลุ่มที่ทำกิน ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า 2,000 คน และ 6.กลุ่มนปช. ที่จะเริ่มรวมตัวกันจะชุมนุมที่ราชประสงค์ตอนเที่ยง และเคลื่อนขบวนไปหน้าศาลฎีกาสนามหลวงประมาณบ่ายสองโมง โดยมีกลุ่ม นปช.บางส่วนรออยู่ศาลฎีกาแล้ว และเวลาประมาณบ่ายสามโมงก็จะมารวมตัวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ส่งชุดจู่โจมประกบเสื้อแดง
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวต่อว่า ส่วนพื้นที่บริเวณราชประสงค์ ให้ชุมนุมบริเวณถนนราชดำริตั้งแต่ฝั่งราชประสงค์จนถึงแยกประตูน้ำ และเปิดเส้นทางการจราจรถนนพระราม 1 โดยให้กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปทางถนนเพชรบุรี และพยายามให้รถประจำทางใช้เส้นทางได้ตามปกติ ระหว่างการเคลื่อนขบวนก็จะควบคุมให้อยู่ในเส้นทางที่กำหนด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ตำรวจ สน.ใกล้เคียง และชุดจู่โจมประกบไปตลอดทาง ที่บริเวณศาลฎีกาก็ห้ามเข้ามาในบริเวณแนวแผงเหล็กที่กั้นเอาไว้ ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมใช้รถยนต์ และรถจยย. หากไปก่อกวน หรือปิดกั้นตามที่ต่างๆ นั้นจะดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด
ผบ.ตร.ฝากแดงดูแลกันเอง
เมื่อเวลา 12.45 น. พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เดินทางมาตรวจความเรียบร้อยบริเวณบ้านพักนายกรัฐมนตรีซอยสวัสดี จากนั้นเผยว่า มาดูแลความเรียบร้อยเพราะมีการสับเปลี่ยนกำลังกันใหม่ และมีผู้กำกับมาอยู่ใหม่ จึงต้องปรับแผนดูแลให้เข้มข้นมากขึ้น ประกอบกับในพื้นที่นี้ก็อยู่ในประกาศพ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จึงต้องเน้นตรวจสอบบุคคลที่เข้าออก โดยให้เน้นสังเกตบุคคลที่มีลักษณะน่าสงสัย
เมื่อถามถึงสถานการณ์การชุมนุมในวันนี้ระหว่างกลุ่มเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง พล.ต.อ. วิเชียรกล่าวว่า กำลังที่เตรียมไว้น่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร อย่างไรก็ตามได้ประสานไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่มีจำนวนมากให้ดูแลกันเองในส่วนหนึ่งด้วย
มาร์คพูดวน′ผมสัญชาติไทย′
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มนปช.ชุมนุมเคลื่อน ไหวและเตรียมหยิบยกเอาสัญชาติโดยมีการเตรียมนำหลักฐานสูติบัตรที่เกิดเมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษมาแฉว่า ประเด็นมีอยู่ว่า มีสัญชาติไทยและใช้สัญชาติไทยมาโดยตลอด ในการสมัครรับเลือกตั้งและทำสิ่งต่างๆ ซึ่งผู้ที่กล่าวหาต้องไปอ่านกฎหมายไทยว่ากฎ หมายไทยเขียนว่าอย่างไร กรณีเวลาที่มีกฎ หมายไปขัดกับกฎหมายประเทศอื่นๆ "ผมเป็นคนไทยผมก็ถือตามกฎหมายไทย"
"ผมเกิดที่ไหน ผมเปลี่ยนที่เกิดผมไม่ได้อยู่แล้ว ผมเกิดที่ไหนก็เกิดที่นั่นแหละครับ แต่ผมก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์ เพราะตอนที่ผมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ผมก็จ่ายเงินในฐานะเป็นนักเรียนต่างประเทศ และผมเดินทางไปอังกฤษตั้งแต่บรรลุนิติภาวะมาไม่รู้กี่ครั้ง ก็ต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศเพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าจะชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้ว" นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามย้ำว่า สามารถเลือกสัญชาติได้ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า "สำหรับกฎหมายไทยเขียนไว้ชัดเจนว่า ผมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ตรงนี้จึงต้องยึดถือตามกฎหมายไทย ซึ่งกฎหมายไทยมีทั้งกฎหมายสัญชาติและกฎหมายที่บอกว่า เวลาที่กฎหมายไทยกับกฎหมายประเทศอื่นขัดกันหรือไม่อย่างไร ให้ถือเอากฎหมายไทย
เมื่อถามว่ายืนยันใช่หรือไม่ว่า นายกรัฐมนตรีถือเพียงสัญชาติไทยเพียงสัญชาติเดียว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า "ผมถือสัญชาติไทยครับ"
จัดอาลัย6ศพวัดปทุมฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 10.00 น. ที่วัดปทุมวนาราม มีงานรำลึกและไว้อาลัยให้กับน.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสา และนายมงคล เข็มทอง เจ้าหน้าที่กู้ภัยป่อเต็กตึ๊ง รวม 6 ศพ ที่เสียชีวิตภายในเต็นท์พื้นที่เขตอภัยทาน วัดปทุมวนาราม และประชาชนอีกกว่า 90 ศพ ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของรัฐบาล เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีนายวสันต์ สายรัศมี หรือเก่ง กู้ภัย ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว และนายสมใจ เข็มทอง พี่ชายนายมงคล เข็มทอง เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และนายบัวศรี ทุมมา อายุ 68 ปี เหยื่อกระสุนปืน ถูกยิงบริเวณฝ่าเท้าข้างซ้ายบาดเจ็บสาหัส ปัจจุบันยังต้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นครั้งที่ 2 ได้เดินทางมาร่วมงานรำลึกครั้งนี้ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บรรยากาศภาย ในงานเป็นไปด้วยความเศร้าโศกต่อการจากไปของเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยและประชา ชน มีสมาชิกเสื้อแดงมาร่วมงานกว่า 200 คน และได้นำดอกกุหลาบแดงมาวางเพื่อไว้อาลัยที่หน้ารูปถ่ายของผู้เสียชีวิตเหล่านี้ ใช้เวลากว่า 30 นาที จึงเสร็จสิ้น จากนั้นก็เดินทางไปรวมตัวบริเวณสี่แยกราชประสงค์ เพื่อร่วมขบวนกับแกนนำนปช.ที่จะเดินทางไปยังศาลฎีกา สนามหลวง
รวมพลัง - กลุ่มเสื้อแดง 4 หมื่นรวมตัวบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รำลึก 9 เดือน เหตุ การณ์สลายการชุมนุม 91 ศพ หลังไปยื่นขอความเป็นธรรมที่ศาลฎีกา เมื่อวันที่ 19 ก.พ.
ในช่วงบ่ายต่อไป
โวย9เดือนคดีไม่คืบ
นายวสันต์ สายรัศมี กล่าวทั้งน้ำตาว่า เหตุการณ์ขณะนี้ผ่านไปกว่า 9 เดือน ก็ยังคงระลึกถึงพวกเขาที่เป็นเพื่อน เป็นพี่น้องประชาชนที่เคยมาอยู่ร่วมกับบริเวณนี้ และสถานที่แห่งนี้ตนก็เคยใช้นอนกับเพื่อนๆ ที่เสียชีวิต ในวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา และสุดท้ายพวกเขาก็ต้องมาจากไปเพราะฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งพื้นที่ตรงนี้ได้ประกาศให้เป็นพื้นที่เขตอภัยทานแต่กลับไม่มีการละเว้น เจ้าหน้าที่ได้ระดมยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่พยาบาลอาสา และกู้ภัยอย่างไม่ยั้งจนเสียชีวิต ซึ่งในวันนั้นอยากถามว่าทำไมถึงไม่คิดสักนิดหรือว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นเขตอภัยทาน และคนที่จะยิงใส่เป็นประชาชนคนไทยเหมือนกัน ก่อนหยิบปืนขึ้นมายิงคิดหรือไม่ช่วยตอบด้วย และการมารำลึกของตนครั้งนี้เป็นการมารำลึกครั้งที่ 2 และจะยืนเคียงบ่าต่อสู้เพื่อความยุติธรรมร่วมกับพี่น้องประชา ชนตลอดไปถึงจะตายก็ยอม
นายสมใจ เข็มทอง กล่าวว่า ขณะนี้เหตุการณ์ผ่านมา 9 เดือน คดีความไม่มีความคืบหน้าเลยทั้งๆ ที่มีพยานหลักฐานมากมาย และมีเจ้าหน้าที่ที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่วันนั้นหน้าวัดปทุมฯ ก็ยอมรับว่าได้รับคำสั่งมาและได้ใช้อาวุธปืนประจำกาย เอ็ม 16 ยิงเข้าใส่ประชาชนในวัดปทุมวนารามนี้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะต่อสู้ร่วมกับพี่น้องคนเสื้อแดงต่อไปจนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม
เหยื่อปืนย้อนอดีตถูกระดมยิง
ด้านลุงบัวศรี ทุมมา เหยื่อกระสุนปืน กล่าวว่า เหตุการณ์ของตนเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ขณะวิ่งเข้ามาหลบในวัด ในวันนั้นช่วงเย็นๆ ได้เห็นมีกำลังเจ้าหน้าที่จำนวน 5 นาย พร้อมอาวุธปืนประจำกายยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมวนาราม ชั้นที่ 3 จากนั้นไม่นานกลุ่มเจ้าหน้าที่ดังกล่าวก็ได้ระดมยิงปืนใส่เข้ามาในวัดชุดใหญ่ จนประชาชนที่อยู่ข้างในต่างวิ่งหลบกระสุนปืนอย่างวุ่นวาย และเห็นมีคนเสื้อแดงถูกยิงล้มหลายคน ส่วนตนหลบอยู่ใต้ท้องรถบริเวณหน้าทางเข้าวัด แต่ก็ยิงใส่รถจนกระสุนลงมาถูกบริเวณหน้าขาซ้ายจนทะลุ ก่อนที่เก่ง กู้ภัย จะเข้ามาลากเข้าไปข้างใน และขณะนี้ผ่านมา 9 เดือนแล้วตนก็จะยังคงขอต่อสู้ต่อไป เพื่อความเป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาน้องเกด นั้นช่วงที่มีการรำลึกบริเวณวัดปทุมวนาราม ไม่ได้มาร่วมงานด้วย เนื่องจากติดภารกิจต้องนำสมาชิกเสื้อแดงจากร่มเกล้า ลาดกระบัง หนองจอก และมีนบุรี มาสมทบที่ราชประสงค์
ตำรวจตรึงเข้มแดงชุมนุม
จากนั้นเวลา 11.00 น. กลุ่มแดงสยามได้นำสมาชิกเสื้อแดงหลายร้อยคน ที่ทยอยมาถึงมารวมตัวอยู่ข้างรั้วด้านนอกของวัดปทุมฯ พร้อมทั้งมีการปราศรัยโจมตีรัฐบาลบนรถโมบาย มีเนื้อหาโจมตีกรณีที่เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธยิงใส่ประชาชนบริเวณราชประสงค์ และยิงใส่พยาบาลอาสาภายในวัดปทุมวนา รามจนเสียชีวิต อย่างดุเดือด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 12.40 น. บรรยา กาศบริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ สี่แยกราชประสงค์ มีกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงทยอยเดินทางมายังพื้นที่อย่างต่อเนื่องจำนวนมาก ส่วนใหญ่ผู้ชุมนุมยังคงปักหลักอยู่บนทางเท้ายังไม่ลงมาพื้นถนน มีกำลังตำรวจเริ่มเข้ามายืนอยู่ตามจุดต่างๆ เป็นระยะตั้งแต่แยกประตูน้ำ จนถึงวัดปทุมวนาราม พร้อมกับเริ่มตั้งจุดตรวจบริเวณแยกประตูน้ำ และรอบพื้นที่จะที่เข้ามาในพื้นที่การชุมนุม เพื่อป้องกันมือที่สามอาจจะเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่การชุมนุมได้
3หมื่นเคลื่อนขบวนไปศาล
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมและการเคลื่อนขบวนของกลุ่มแนวร่วม นปช. บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงบ่าย ทางกลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเดินทางมายังบริเวณพื้นที่อย่างต่อเนื่องหลายหมื่นคน จนเจ้าหน้าที่ต้องปิดการจราจรตลอดทั้งสาย ตั้งแต่แยกประตูน้ำ มาจนถึงแยกราชประสงค์ เนื่องจากผู้ชุมนุมได้นํารถยนต์ รถจักรยานยนต์จํานวนมากลงไปจอดบนผิวการจราจร โดยหันหน้ารถไปยังแยกประตูน้ำ เพื่อรอคําสั่งแกนนําในการเคลื่อนขบวนไปยังศาลฎีกา
เวลา 15.00 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนํา นปช.และนางธิดา โตจิราการ ประธาน นปช.ได้เดินทางมาขึ้นรถปราศรัยที่ราชประสงค์ และสั่งเคลื่อนขบวนทันที ใช้เวลาเดินทางนานกว่า 1 ชั่วโมง เนื่องจากขบวนมีความยาวหลายกิโล และมีผู้ชุมนุมเสื้อแดงเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 30,000 คน เมื่อมาถึงหน้าศาลฎีกา นายจตุพร และนางธิดา ได้ปราศรัยพูดคุยกับผู้ชุมนุม
ตู่ครวญหา′ยุติธรรม′
นายจตุพร กล่าวปราศรัยบริเวณหน้าศาลฎีกา ว่า การยื่นขอประกันตัวพี่น้องคนเสื้อแดงนั้นเป็นความเจ็บปวดที่ขมขื่นที่สุด นับตั้งแต่ไปมอบตัวในวันที่ 19 พ.ค. 2553 ไม่เคยได้รับการปฏิบัติตามประมวลพิจารณาความอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญาแม้แต่เพียงครั้งเดียว หลักตามรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนว่าให้สันนิษฐานว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือจําเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ก่อนคดีจะถึงที่สุดซึ่งเป็นปรัชญาของกฎหมายที่สําคัญ แต่ว่าไม่มีการดําเนินการกับฝ่ายลั่นกระสุนปืนฆ่าประชาชน
นายจตุพรกล่าวต่อว่า การตั้งข้อกล่าวหาให้พวกผมฆ่ากันตายเอง 91 ศพ โดยไม่มีการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งวิธีการพิจารณาความอาญามาตรา 150 ระบุชัดว่าต้องชันสูตรพลิกศพให้ชัดเจนก่อนส่งอัยการ และอัยการจะนําไปไต่สวนในศาลชั้นต้นพื้นที่นั้น ถึงสาเหตุของการตายว่าตายเพราะสาเหตุอะไร ใครเป็นคนร้ายทําให้ตาย แต่คดีของคนเสื้อแดงไม่มีการชันสูตรพลิกศพ แล้วก็ใช้วิธีฟ้องโดยไม่ได้ปฏิบัติตามกระบวนวิธีพิจารณาความอาญาว่าฆ่ากันตายเอง 91 ศพ ดีเอสไอทําผิดกฎหมายยื่นให้อัยการ นอกจากนี้ไปร้องความเป็นธรรมที่อัยการ บอกว่าดีเอสไอไม่ปฏิบัติตามวิธีพิจารณาความอาญา ก็ได้รับคําตอบว่าทางดีเอสไอไม่เคยสอบพยานฝ่ายจําเลยแม้แต่เพียงปากเดียว คดีคนเสื้อแดงนี้ผิดกับคดีพันธมิตรที่ยึดทําเนียบ สนามบิน
1.-2.บรรยากาศม็อบพันธมิตรฯบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ช่วงเย็นที่ 19 ก.พ.
ขับรถทับตํารวจ แต่กลับให้รอลงอาญาบันดาลโทสะ แต่คนเสื้อแดงปาไข่ยังติดคุก
ธิดาตัวแทนอ่านจม.จากคุก
จากนั้นนางธิดาได้เป็นตัวแทนอ่านจดหมายปรับทุกข์ของแกนนํา นปช.ทั้ง 7 คน มีความหนา 4 หน้ากระดาษ โดยหน้าประตูทางเข้าศาลฎีกา ได้มีกำลังตํารวจหญิงจากนครบาล 1 ประมาณ 100 คนตั้งแถวอยู่ และมีหน่วยชุดปะฉะดะ นํารถจักรยานยนต์มาจอดขวางประตูอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมบุกเข้าไปข้างใน และภายในศาลมีกำลังตํารวจปราบจลาจล พร้อมกระบองตั้งแถวอยู่หลายกองร้อย
สำหรับเนื้อหาในจดหมายที่นางธิดาอ่านระบุว่า จดหมายนี้เขียนออกมาจากเรือนจําพิเศษกรุงเทพฯ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร ดังนี้ เรียนท่านผู้พิพากษาที่เคารพ กระผมแกนนํา นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายจากเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. 2553 มีความจําเป็นต้องเขียนจดหมายปรับทุกข์อีกครั้ง เพราะทันทีที่ศาลอาญามีคําสั่งไต่สวนคําร้องขอประกันตัวของพวกกระผมในวันที่ 21 ก.พ.นี้ถือเป็นโอกาสครั้งสําคัญที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในการยื่นคําร้องขอประกันตัวหลายครั้งที่ผ่านมา จึงขอแสดงความขอบ คุณในความกรุณา ณ โอกาสนี้ ขณะเดียวกันหากพิจารณาจากแนวทางการวินิจฉัยของศาลในการอนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายจากการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ทั้งกรณี นายวีระ มุสิกพงศ์ ประ ธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จําเลยที่ 1 ในคดีเดียวกันกับพวกกระผม หรือนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนํากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ยิ่งทําให้อดตั้งความหวังไม่ได้ว่าพวกกระผมน่าจะได้รับความกรุณาจากกระบวนการยุติธรรมในมาตรฐานเดียวกัน
ตั้งข้อสังเกต 5 ข้อ
นอกจากนั้นเนื้อหาในจดหมายยังได้สรุปสาระสําคัญของคําสั่งศาลอุทธรณ์ลงวันที่ 30 ก.ค.2553 กรณีอนุญาตให้ประกันตัวนายวีระเทียบเคียงกับกรณีแกนนำ นปช.ที่ถูกคุมขังอยู่รวม 5 ข้อ
1.ศาลอุทธรณ์ไต่สวนได้ความจากนาย กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมน ตรีผู้เจรจากับผู้ต้องหา (นายวีระ) ก่อนการยุติการชุมนุมว่าผู้ต้องหาไม่มีแนวทางในการใช้ความรุนแรง และผู้ต้องหาเห็นด้วยกับแผน ปรองดองแห่งชาติที่เสนอโดยนายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนําพวกกระผมยืนยันว่าแนวทาง สันติวิธีไม่ใช้ความรุนแรง เป็นแนวทางเดียวในการต่อสู้ของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ดังที่ปรากฏชัดเจนในหลักนโยบาย 6 ข้อ ซึ่งได้แถลงต่อสื่อมวลชนและระบุในบัตรประจําตัวของสมาชิก นปช.รวมทั้งเนื้อหาในโรงเรียน นปช.ซึ่งเปิดหลักสูตรทุกภูมิภาคก่อนการชุมนุมใหญ่ ส่วนแผนปรองดองแห่งชาติที่เสนอโดยนายกรัฐมนตรีนั้น ที่ประชุมแกนนํา นปช. แดงทั้งแผ่นดินมีมติรับหลักการและตอบรับวันเลือกตั้ง 14 พ.ย.2553 ดังที่ได้แถลงต่อสื่อมวลชนบนเวทีการชุมนุม เพียงแต่สถานการณ์หลังจากความสูญเสียเกือบ 30 ชีวิต บาดเจ็บอีกเป็นจํานวนมาก จากเหตุ การณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. มีความละเอียดอ่อนต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้ชุมนุมเป็นอย่างยิ่ง จําเป็นต้องใช้เวลาและกระบวนการในการทําความเข้าใจ พวกกระผมพยายามอย่างที่สุดในการหาข้อยุติที่ทุกฝ่ายได้รับจากรัฐบาล เมื่อไม่ประสบผลก็ใช้ความพยายามต่อไป โดยตอบรับการเสนอตัวเป็นตัวกลางจนได้ข้อสรุป นัดหมายเจรจากับฝ่ายรัฐบาลที่อาคารรัฐสภาในช่วงเช้าวันที่ 19 พ.ค. โดยนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา รับเป็นผู้ดําเนินการตามที่พวกกระผมและตัวแทนสมาชิกวุฒิสภาแถลงต่อสื่อมวลชนร่วมกันในวันที่ 18 พ.ค. แต่การเจรจาไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะมีการใช้กำลังล้อมปราบตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 19 พ.ค.
อย่างไรก็ตามพวกกระผมเห็นว่าการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับแผนปรองดองของนายกฯ ไม่น่าจะเป็นสาเหตุการจําขัง และไม่น่าจะเป็นเหตุผลในการไม่ได้รับการประ กันตัว เพราะการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็จากความจริงใจ และการร่วมมือกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดังปรากฏข้อสังเกตที่สําคัญ คือ ข้อเสนอจากคณะกรรมการอิสระแสวง หาข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ หลายข้อก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลแม้แต่ข้อเดียว ด้วยเหตุนี้จะนําตัวมาจําขังไว้โดยไม่อนุญาตให้ประกันตัวก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
ยันไม่คิดหลบหนี
2.กรมสอบสวนคดีพิเศษจัดให้ผู้ต้องหาประเภทแกนนํากลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่มีหัวรุน แรง ปัจจุบันข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปโดยการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่คัดค้านการขอปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหา พวกกระผมมิอาจทราบได้ว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษจัดไว้ในประเภทแกนนํากลุ่มใด แต่รับรู้ตลอดมาว่าการดําเนินการของกรมสอบสวนคดีพิเศษในคดีนี้เต็มไปด้วยข้อกังขา วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความชอบธรรมและเที่ยงธรรมตลอดเวลา และหากถือว่าการไม่คัดค้านการประกันตัวของกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเหตุผลในการพิจารณา เจ้าพนักงานอัยการก็ไม่คัดค้านการประกันตัวของพวกกระผมตั้งแต่วันสั่งฟ้อง 11 ส.ค.2553 เช่นเดียวกัน
3.ผู้ต้องหาเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานทั้งที่อยู่ในวิสัยที่พึงทราบว่าตนจะถูกดําเนินคดี รวมทั้งทราบถึงความหนักเบาแห่งข้อหาและอัตราโทษ ในประเด็นนี้เป็นที่ชัดเจนว่า พวกกระผมเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ทันทีที่ยุติการชุมนุมด้วยสติสัมปชัญญะครบถ้วน จึงรับทราบข้อกล่าวหาและอัตราโทษเป็นอย่างดี ทั้งที่มีโอกาสหลบหนีก็มิได้กระทํา
4.ขณะนี้สถานการณ์ของประเทศคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นโดยรัฐบาลยกเลิกการควบคุมดูแลสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายพื้นที่แล้ว หากวันที่ 30 ก.ค.2553 ถือว่าสถาน การณ์ดีขึ้นย่อมพิจารณาได้ว่า ณ ปัจจุบันสถานการณ์ดียิ่งขึ้นไปอีกเพราะรัฐบาลประกาศยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินในจังหวัดที่เหลือไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และรับทราบกันโดยทั่วไปว่าการชุมนุมโดยกลุ่ม นปช.แดงทั้งแผ่นดินทุกครั้งที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนาแต่อย่างใด
5.พฤติกรรมเชื่อว่าหากปล่อยชั่วคราวจะไม่หลบหนี ประกอบกับการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ต้องหาไม่น่าจะมีโอกาสไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรืออุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน หรือการดําเนินคดีในศาลต่อไปได้
ตลอด 4-5 ปีของการต่อสู้ พวกกระผมไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนีในทุกคดีที่ถูกกล่าวหา ส่วนการยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะการสอบสวนเสร็จสิ้นไปแล้วหลายเดือนก่อนหน้านี้ อีกทั้งนายวีระ จําเลยที่ 1 ซึ่งได้รับการประกันตัวก็ไม่เคยกระทําการอันเป็นอุปสรรคต่อการพิจารณาคดีแต่อย่างใด
หวังประกันแดงทุกคน
นอกจากนั้นเนื้อหาในจดหมายยังระบุอีกว่า สาระสําคัญที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ประกันตัวนายวีระ แทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากพวกกระผมเลย เมื่อเป็นเช่นนี้อิสรภาพของพวกกระผมก็เริ่มมีลมหายใจ ในขณะเดียวกันอิสรภาพของพี่น้อง นปช. อีกเกือบ 200 ชีวิตทั่วประเทศก็เป็นสิ่งที่คิดได้หวังได้ และควรจะได้หากเทียบเคียงกับอิสรภาพที่ผู้ชุมนุมกลุ่มอื่นได้รับตลอดมา
สำหรับจดหมายในช่วงท้าย สรุปว่า ต้องขออภัยในสิ่งที่อาจเป็นความไม่สะดวกของท่านผู้พิพากษาในการชุมนุมของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน บริเวณหน้าศาลอาญา และศาลฎีกา แต่ขอได้โปรดเข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้ไปกดดัน เพราะเป้าหมายมิได้อยู่ที่ตัวท่าน พวกเขาไปเรียกร้องความยุติธรรม เพราะเป้าหมายอยู่ที่ความยุติธรรม เพราะความยุติธรรมมิได้เป็นสมบัติส่วนตัวของบุคคลใด จึงหวังว่าท่านผู้พิพากษาที่ทําหน้าที่อํานวยความยุติธรรมจะแบ่งปันสิ่งนี้ให้กับคนไทยอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม
อ่านจ.ม.จบก็สลายตัว
หลังจากอ่านจดหมายจบ นางธิดาได้ประ กาศให้ผู้ชุมนุมทั้งหมดสลายแล้วไปรวมตัวกันบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อร่วมรําลึกให้กับผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมในเดือนเม.ย.และพ.ค. 91 ศพต่อไปในช่วงเย็นวันเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นเวลาประมาณ 16.00 น.ผู้ชุมนุมหลายหมื่นคนได้มารวมตัวกันบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อร่วมชุมนุมอีกรอบ ส่วนใหญ่ก็ยังคงนั่งหลบแดดอยู่ตามใต้ต้นไม้ เพื่อรอแกนนําเดินทางมา และรอดูใบเกิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่นายจตุพรจะนํามาเปิดในเย็นวันนี้
ตู่ขึ้นเวทีโหมโรงสัญชาติ
จากนั้นเวลา 18.00 น. นายจตุพร พร้อมแกนนำนปช. ปรากฏตัวหน้าเวทีพร้อมเชิญชวนมวลชนคนเสื้อแดงยืนตรงเพื่อร่วมร้องเพลงชาติไทยในการเคารพธงชาติ ก่อนกล่าวกับผู้ชุมนุมว่า มีเจ้าหน้าที่ไปรายงานต่อรัฐบาลว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีเพียง 13,000 คน ก็เลยไปบอกว่าคนราชดำเนินมีเพียง 300 คน แต่มัฆวานรังสรรค์มีคนเป็นแสนคน ขอให้รัฐบาลเชื่อไป เพราะพี่น้องทั้งข้างหน้าจนถึงข้างหลังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเต็มไปหมด ยิ่งมืดยิ่งเต็ม 300 คนจะเอาอะไรได้มาก เดี๋ยวคืนนี้นายอภิสิทธิ์จะยิ่งร้อนในเรื่องสัญชาติ เขาบอกว่ามีสัญชาติไทยตนก็ไม่เถียง แต่ที่มีสัญชาติอังกฤษ เดี๋ยวมืดๆ จะได้ดูที่หน้าจอ เพราะทีมกฎหมายได้ไปคัดสูติบัตรจากประเทศอังกฤษเป็นที่เรียบร้อย และจะพูดเรื่องสัญชาติ รวมทั้งกระบวนการประกันตัวของพี่น้องนปช. และข้อเสนอของนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แดงแห่ร่วมชุมนุมร่วม 4 หมื่น
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่ม นปช.บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ว่า ช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล หรือน้องเดียร์ ลูกสาว พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกที่ถูกสไนเปอร์ยิงเสียชีวิตบริเวณสวนลุมพินี ได้เดินทางมาขึ้นเวทีปราศรัยเพื่อพูดคุยกับผู้ชุมนุม โดยน.ส.ขัตติยาได้ประกาศว่าจะขอต่อสู้ร่วมกับพี่น้องคนเสื้อแดง และขอให้คนเสื้อแดงรับเป็นลูกสาวอีกคนหนึ่ง และการต่อสู้ของคนเสื้อแดงในวันนี้บิดาที่เสียชีวิตกำลังมองดูพวกเราอยู่บนฟ้า และสักวันพวกเราจะต้องได้รับชัยชนะขอให้ทุกคนสู้ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ส่วนบรรยากาศในพื้นที่การชุมนุมบริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินตลอดสายหนาแน่นไปด้วยคนเสื้อแดงที่มาร่วมงานจํานวนมาก ไม่ต่ำกว่า 40,000 คน เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องการรอดูนายจตุพรแฉกรณีใบเกิดของนายอภิสิทธิ์ โดยรอบพื้นที่มีกำลังตํารวจนครบาลหลายกองร้อยมาประจําการอยู่ และตั้งจุดตรวจอย่างเข้มงวด ร่วมกับการ์ด นปช.และยังไม่พบเหตุรุนแรงใดๆ
จี้โชว์สละสัญชาติ
เวลาประมาณ 20.00 น. นายจตุพรขึ้นกล่าวบนเวทีพร้อมโชว์สำเนาใบเกิดของนายอภิสิทธิ์ ที่คัดลอกจากเมืองนิวคาสเซิล ประ เทศอังกฤษมาแสดง โดยนายจตุพรกล่าวว่า คนที่เกิดก่อนปีพ.ศ. 2526 จะได้สัญชาติอังกฤษ ถ้านายอภิสิทธิ์ไม่ได้ถือสัญชาติอังกฤษ ก็ต้องเอาใบสละสัญชาติมาโชว์ต่อที่สาธารณะ
โชว์ใบเกิดนิวคาสเซิล
นายจตุพรกล่าวด้วยว่า เอกสารนี้สำนักทนายของนายโรเบิร์ตได้ไปคัดลอกมาเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นเอกสารที่ออกโดยสำนักทะเบียนกลาง เอกสารเลขที่ 2997018/1 ระบุว่า ด.ช.มาร์ค อภิสิทธิ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 ส.ค.1964 ที่โรงพยาบาลริชาร์ด เฟลโล กิ่ง อ.วิกตอเรีย ในเขตเมืองนิวคาสเซิล อพอนไทน์ โดยแจ้งลงทะเบียนการเกิดเมื่อวันที่ 4 ส.ค.1964 มีสำนักทะเบียนการเกิด ประเทศอังกฤษรับรองว่าเป็นสำเนาจริง
นายจตุพรกล่าวอีกว่า มนุษย์ทั่วโลกไม่สามารถเลือกที่เกิดได้ ไม่สามารถเลือกสัญชาติได้ ที่นายอภิสิทธิ์มีสัญชาติไทยเพราะมีพ่อแม่เป็นคนไทย และมีสัญชาติอังกฤษเพราะเกิดที่นั่น จึงถือเป็นคน 2 สัญชาติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดเลยเพราะมีคนถือ 2 สัญชาติมากมาย แต่เพราะเหลือเพียงช่องทางเดียวที่จะฟ้องนายอภิสิทธิ์ขึ้นศาลโลก คือการที่นายอภิสิทธิ์ถือสัญชาติอังกฤษ ซึ่งเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ไม่เคยตอบความจริงกับประชาชน เหมือนคดีหนีทหาร ถ้าวันนี้เป็นลูกผู้ชายต้องตอบความจริงอย่างตรงไปตรงมา
เวลา 21.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยา กาศการชุมนุมว่า ช่วงที่นายจตุพรขึ้นเวทีปราศรัยว่านายอภิสิทธิ์ถือสองสัญชาติ โดยเริ่มขึ้นปราศรัยตั้งแต่เวลาประมาณ 20.00 จนถึงเวลา 21.20 น. จึงเสร็จสิ้น สร้างความสนใจให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่รอฟังเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็เป็นการปราศรัยของสมาชิกเครือข่ายที่มาจากภาคต่างๆ สลับดนตรี เพื่อผ่อนคลายความตรึงเครียด โดยยังไม่มีเหตุ การณ์รุนแรง และยังคงมีผู้ชุมนุมปักหลักหน้าเวทีจํานวนมากเช่นเดิม
ขอบคุณ : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ประวัติวันมาฆบูชา
ขอบคุณรูปภาพอ้างอิงจาก DMC
ความหมายของวันมาฆบูชา
คำว่า "มาฆะ" นั้น เป็นชื่อของเดือน 3 ย่อมาจากคำว่า "มาฆบุรณมี" หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3
การกำหนดวันมาฆบูชา
การกำหนดวันมาฆบูชาตามปฏิทินจันทรคติของไทยนั้นจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 และมักตรงกับเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม
ความสำคัญและประวัติของวันมาฆบูชา
ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์" แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้เป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่างๆ หากสรุปเป็นใจความสำคัญ จะมีเนื้อหาว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"
ทั้งนี้ในวันมาฆบูชาได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อมๆ กันถึง 4 ประการ อันได้แก่
1.วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
2.มีพระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อสักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
3.พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6
4.พระสงฆ์ทั้งหมดได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า หรือ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
และเพราะเกิดเหตุอัศจรรย์ 4 ประการข้างต้น ทำให้วันมาฆบูชา เรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" นี้ มีความหมายตามการแยกศัพท์คือ
จาตุร แปลว่า 4
องค์ แปลว่า ส่วน
สันนิบาต แปลว่า ประชุม
ดังนั้น "จาตุรงคสันนิบาต" จึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ 4" นั่นเอง
ทั้งนี้วันมาฆบูชาถือว่าเป็นวันพระธรรม ขณะที่วันวิสาขบูชาถือว่าเป็นวันพระพุทธ ส่วนวัน
อาสาฬหบูชา เป็นวันพระสงฆ์
ประวัติการถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
พิธีทำบุญวันมาฆบูชานี้ ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีมาในสมัยใด อย่างไรก็ตามในหนังสือ "พระราชพิธีสิบสองเดือน" อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" มีเรื่องราวเกี่ยวกับการประกอบราชกุศลมาฆบูชาไว้ว่า
ประเทศไทยเริ่มกำหนดพิธีปฏิบัติในวันมาฆบูชาเป็นครั้งแรกในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งมีการประกอบพิธีเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2394 ในพระบรมมหาราชวังก่อน โดยมีพิธีพระราชกุศลในเวลาเช้า นมัสการพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศวรวิหารและวัดราชประดิษฐ์จำนวน 30 รูป ฉันภัตตาหารในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เมื่อถึงเวลาค่ำ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออก ทรงจุดธูปเทียนนมัสการ พระสงฆ์ทำวัตรเย็นและสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ เมื่อสวดจบทรงจุดเทียน 1,250 เล่ม รอบพระอุโบสถ มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนาโอวาทปาติโมกข์ 1 กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลี และภาษาไทย ส่วนเครื่องกัณฑ์ประกอบด้วยจีวรเนื้อดี 1 ผืน เงิน 3 ตำลึงและขนมต่างๆ เมื่อเทศนาจบ พระสงฆ์ 30 รูป สวดรับ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปี แต่มีการยกเว้นบ้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องจากบางครั้งตรงกับช่วงเสด็จประพาสก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชาในสถานที่นั้นๆ ขึ้นอีกแห่ง นอกเหนือจากภายในพระบรมมหาราชวัง
ต่อมาการประกอบพิธีมาฆบูชาได้แพร่หลายออกไปภายนอกพระบรมมหาราชวัง และประกอบพิธีกันทั่วราชอาณาจักร ทางรัฐบาลจึงประกาศให้เป็นวันหยุดทางราชการด้วย เพื่อให้ประชาชนจากทุกสาขาอาชีพได้ไปวัด เพื่อทำบุญกุศลและประกอบกิจกรรมทางศาสนา
นอกจากนี้ในปี พ.ศ.2549 รัฐบาลไทยประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็นวันกตัญญูแห่งชาติอีกด้วย
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติคือ "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งเป็นหลักคำสอนสำคัญอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพื่อไปสู่ความหลุดพ้น หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 ดังนี้
หลักการ 3 คือหลักคำสอนที่ควรปฏิบัติ ได้แก่
1.การไม่ทำบาปทั้งปวง คือ การลด ละ เลิก ทำบาปทั้งปวง อันได้แก่ อกุศลกรรมบถ 10 ซึ่งเป็นทางแห่งความชั่ว 10 ประการที่เป็นความชั่วทางกาย (การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม) ทางวาจา (การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ) และทางใจ (การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม)
2.การทำกุศลให้ถึงพร้อม คือ การทำความดีทุกอย่างตาม กุศลกรรมบถ 10 ทั้งความดีทางกาย (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ประพฤติผิดในกาม) ความดีทางวาจา (ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ) และความดีทางใจ (ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น มีความเมตตาปรารถนาดี มีความเข้าใจถูกต้องตามทำนองคลองธรรม)
3.การทำจิตใจให้ผ่องใส คือ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ หลุดจากนิวรณ์ที่คอยขัดขวางจิตใจไม่ให้เข้าถึงความสงบ ได้แก่ ความพอใจในกาม, ความพยาบาท, ความหดหู่ท้อแท้, ความฟุ้งซ่าน และความลังเลสงสัย
ซึ่งทั้ง 3 หลักการข้างต้น สามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์" นั่นเอง
อุดมการณ์ 4 ได้แก่
1.ความอดทน อดกลั้น คือ ไม่ทำบาปทั้งกาย วาจา ใจ
2.ความไม่เบียดเบียน คือ งดเว้นจากการทำร้าย หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
3.ความสงบ ได้แก่ การปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ
4.นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา
วิธีการ 6 ได้แก่
1.ไม่ว่าร้าย คือ ไม่กล่าวให้ร้าย โจมตีใคร
2.ไม่ทำร้าย คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
3.สำรวมในปาติโมกข์ คือ เคารพระเบียบวินัย กฎกติกา รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของสังคม
4.รู้จักประมาณ คือ รู้จักความพอดีในการบริโภค รวมทั้งการใช้สอยสิ่งต่างๆ
5.อยู่ในสถานที่สงัด คือ อยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
6.ฝึกหัดจิตใจให้สงบ คือ การฝึกหัดชำระจิตใจให้สงบ มีประสิทธิภาพที่ดี
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา
การปฏิบัติตนสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันมาฆบูชาคือ คือ ในตอนเช้า ควรไปทำบุญตักบาตร ไปวัดเพื่อฟังพระธรรมเทศนา หรือจัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหาร ช่วงบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา เจริญสมาธิภาวนา เมื่อถึงตอนค่ำ นำดอกไม้ ธูปเทียนไปเวียนเทียน 3 รอบที่พระอุโบสถ โดยการเวียนเทียนนั้นจะเวียนขวา จำนวน 3 รอบ และช่วงเวลาที่เดินอยู่นั้นให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนควรบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสถานที่ต่างๆ และรักษาศีล สำหรับตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ จะมีการประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เพื่อระลึกถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ข้อเสนอแนะการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันมาฆบูชา
กิจกรรมเกี่ยวกับครอบครัว
กิจกรรมที่ครอบครัวควรทำในวันมาฆบูชา อย่างเช่น การทำความสะอาดบ้าน จัดแต่งที่บูชาประจำบ้าน ชักชวนครอบครัวไปทำบุญตักบาตร ฟังศีล ฟังธรรม บำเพ็ญกุศล ปฏิบัติธรรม รวมทั้งควรศึกษาหลักธรรมคำสั่งสอน และความสำคัญของวันมาฆบูชาด้วย
กิจกรรมเกี่ยวกับสถานศึกษา
ในสถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญอีกแห่ง โดยภายในสถานศึกษาควรมีการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา เช่น จัดนิทรรศการให้ความรู้ ประกวดเรียงความ ตอบปัญหาธรรมะ บรรยายธรรม หรือร่วมกันทำบุญ ตักบาตร เวียนเทียน บำเพ็ญกุศล อีกทั้งประกาศเกียรติคุณนักเรียนผู้ทำประโยชน์ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี
กิจกรรมเกี่ยวกับสถานที่ทำงาน
ควรประชาสัมพันธ์ในที่ทำงาน และจัดให้มีการบรรยายธรรม หรือร่วมบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน ร่วมทำบุญ บำเพ็ญกุศลร่วมกัน
กิจกรรมเกี่ยวกับสังคม
ภาคส่วนต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็น วัด มูลนิธิ สมาคม สื่อมวลชน สนามบิน สถานีรถไฟ ฯลฯ ควรช่วยกันประชาสัมพันธ์ความสำคัญของวันมาฆบูชา อาจเป็นการพิมพ์เอกสารให้ความรู้ จัดให้มีการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาร่วมกัน เช่น ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม ช่วยกันรณรงค์ให้เลิกอบายมุข แต่รณรงค์ให้ช่วยกันทำประโยชน์ต่อสังคมแทน อาจช่วยกันปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดที่สาธารณะ ฯลฯ
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดกิจกรรมในวันมาฆบูชา
พุทธศาสนิกชนจะมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชา รวมทั้งหลักธรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความตระหนักต่อความสำคัญของพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะชาวพุทธ และยังเป็นการช่วยธำรงพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไป.
กรุงเทพฯ เปลี่ยนได้
เมื่อคนที่อยู่กรุงเทพฯ ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ สาธารณูปโภคที่ใช้ไม่ใช่ของคนกรุงเทพฯ แต่ปัญหามากมายรุมเร้าอยู่ในเมืองใหญ่เมืองนี้ แล้วอย่างนี้ชีวิตในกรุงเทพฯ จะเปลี่ยนไปสู่สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นได้ไหม หากเริ่มต้นคิดถึงปัญหาอาจจะทำให้หลายคนท้อก่อนเห็นทางแก้ แต่การหาทางออกด้วยนวัตกรรมสังคมอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่า “กรุงเทพฯ เปลี่ยนได้...ไม่ยากเลย”
“ตอนนี้คนกรุงเทพฯ มีความขัดแย้งในใจตัวเองทุกคนเลย ใจหนึ่งก็โหยหาชีวิตหรูหราสะดวกสบาย ขณะเดียวกันก็โหยหาชีวิตที่มันเป็นธรรมชาติ ความขัดแย้งตัวนี้นี่แหละที่จะทำให้เกิด Social change หรือ Social Innovation” ดร.เมธาคุณ ตุงคะสมิต นักวิชาการและนักวางกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (วิสาหกิจของ กทม.) อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เชี่ยวชาญประจำและคณะทำงานพัฒนาศักยภาพด้านสิ่งแวดล้อมและผังเมือง กรุงเทพมหานคร ฉายภาพคนกรุงเทพฯ ที่หลายคนคงพยักหน้าตาม
ดร.เมธาคุณเป็นคนทำงานด้านสิ่งแวด ล้อมรุ่นใหม่ที่เข้าไปมีบทบาทต่อการขับเคลื่อน กรุงเทพมหานครผ่านการวางนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและผังเมือง ขณะเดียวกันงานประจำจากการเป็นอาจารย์ด้านนวัตกรรมสังคมที่ทำอยู่นั้น ทำให้เขาเลือกใช้แนวคิดบนหลักการที่ไม่ซับซ้อนเพื่อเป็น Change agent ที่ค่อยๆ เปลี่ยนกรุงเทพฯ สู่สิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิมในบริบทของสังคมความขัดแย้งในใจก็ไม่ต่างอะไรกับความขัดแย้งเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วไป ที่ทำให้เกิดผลทั้งด้านบวกด้านลบ ซึ่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเหล่านี้มักจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ด้านใดด้านหนึ่งเสมอ และเมื่อนำมารวมกับนิยามในเชิงนวัตกรรมสังคม หรือการดำเนินงานภายใต้สภาพและบริบทที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีกลยุทธ์เพื่อนำไปสู่ทางออกในระดับที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งอุดมการณ์หรือการบังคับด้วยกฎหมายการชั่งน้ำหนักความขัดแย้งก็คือกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
การมองการแก้ปัญหาแบบนวัตกรรมสังคมเป็นแนวทางที่ ดร.เมธาคุณหยิบมาใช้ในการวางกลยุทธ์เปลี่ยนสังคม โดยนำมาใช้ร่วมกับทฤษฎี Stakeholder หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งนิยมใช้กันในวงการธุรกิจต่างๆ มาเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการแก้ปัญหาของสังคม โดยจะต้องให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ที่ถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลดีต่อทุกฝ่ายโดยสมัครใจ
ทฤษฎีนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยปริญญาเอกของเขาเมื่อปี 2546 ซึ่งเลือกทำกรณีศึกษาเกี่ยวกับขยะที่จังหวัดภูเก็ต เขาค้น พบว่า ความรู้สึกมีส่วนได้ส่วนเสียของผู้บริโภค หรือคนในชุมชน ยิ่งเล็ก ยิ่งใกล้ชิด ก็ยิ่งสร้าง จิตสำนึกที่ดีต่อผู้ประกอบการให้ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชนสูงขึ้น ดังนั้นถ้าจะมองว่าเมื่อทุกคนมีบทบาทของการเป็นผู้บริโภคในตัว นั่นเท่ากับทุกคนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กรธุรกิจต่างๆ เพียงแต่ว่า แต่ละคนจะอยู่ในบทบาทที่ต่างกัน เช่น ภาคเอกชน ราชการ นักการเมือง นักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน จุดร่วมของการเป็นสเต๊กโฮลเดอร์ นี่แหละที่จะกลไกในการเปลี่ยนแปลงมิติต่างๆ ในสังคม
“ทางเดียวที่กำหนดทิศทางขององค์กร ธุรกิจได้คือ สเต๊กโฮลเดอร์ ในอดีตสเต๊กโฮลเดอร์ที่เข้มแข็งที่สุดคือนายทุน เพราะเป็นยุคใครถือเงินใหญ่สุด แต่ตอนนี้แค่ถือเงินไม่พอต้องเป็นคนที่ถือเงินแล้วบอกได้ด้วยว่า นอกจากจะทำธุรกิจให้กำไรแล้วเขาต้องเป็นคนดีและรับผิดชอบต่อธุรกิจของตัวเอง การบริหารสเต๊กโฮลเดอร์ให้ดีทุกฝ่ายต้องก้าวไปด้วยกัน”
ดร.เมธาคุณค่อนข้างเชื่อมั่นในการใช้ธุรกิจหรือกลไกทางเศรษฐศาสตร์เป็นตัวนำในการเปลี่ยนแปลงสังคม นั่นเพราะว่าเกือบทุกส่วนในสังคมทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยเม็ดเงินจากธุรกิจที่กระจายออกไปยังส่วนต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ขยะที่เหลือทิ้งออกมาจากชุมชน ก็เริ่มต้นมาจากระบบของธุรกิจเช่นกัน
จากประสบการณ์การทำงานปีเศษใน กทม. ทำให้ ดร.เมธาคุณเชื่อว่าการเปลี่ยน แปลงกรุงเทพฯ เริ่มต้นได้ด้วยแนวทางเดียว กันนี้เช่นกัน เขาจึงเริ่มต้นเปลี่ยนกรุงเทพฯ สู่เมืองสีเขียวตามแนวของผู้ว่าราชการกรุงเทพ มหานครคนปัจจุบัน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ด้วยเรื่องขยะ ภายใต้บทบาทที่เขามีอยู่ในฐานะ นักวางกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม
ขยะคือสิ่งที่เป็นรูปธรรม ที่สามารถเป็นตัวประจาน กทม.ได้ตั้งแต่ระบบการจัดการไปถึงการสะท้อนคุณภาพชีวิตของคนในเมือง ปัจจุบัน กทม.มีปริมาณขยะวันละประมาณ 10,000 ตัน และกำลังจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นอกเหนือจากอีกหลายเรื่องใน กทม.ที่กำลังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันทีละนิด ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุง ระบบขนส่งมวลชน การจัดผังเมือง และงานศึกษาวิจัยเรื่องต่างๆ
“ปัญหาของ กทม.ไม่ได้อยู่ที่ผู้บริหาร แต่อยู่ที่อำนาจในการบริหารจัดการ กทม. เป็นแหล่งรวมสาธารณูปโภคมากมาย แต่ทั้งไฟฟ้า น้ำประปา ขนส่งมวลชน ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในอำนาจการจัดการของ กทม.เลย สิ่งที่ดีที่สุดของ กทม.คือคน คน กทม.ตั้งแต่ระดับรากหญ้ามีอิทธิพลสูง ไม่ได้เป็นแค่รากหญ้าประเภทใช้แรงงาน แต่มีการศึกษาและต้องการสังคมที่ดีขึ้น และจำนวนไม่น้อยมีพื้นฐานในการจัดการสิ่งแวดล้อมรอบตัวตามสภาพถูกบังคับโดยเศรษฐกิจ ทำให้ต้องประหยัด เลือกสรร และปรับสภาพแวดล้อมของตัวเองให้ดีเพื่อความเป็นอยู่ที่เหมาะสม เมื่อเราสื่อสารให้เข้าใจประโยชน์ที่จะได้ถึงตัวเขาได้ ก็จะสามารถเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงได้ การสื่อสารจึงมีบทบาทสำคัญมาก”
งานสิ่งแวดล้อมที่ ดร.เมธาคุณเริ่มต้นด้วยเรื่องเดิมๆ อย่างขยะ เขาเริ่มด้วยการสื่อสารด้วยวิธีคิดง่ายๆ ไปยังชุมชนเป้าหมาย ต่างๆ ซึ่งอาจจะดูง่ายเกินไปด้วยซ้ำในสายตา นักบริหารจัดการที่เคยทำกันมา แต่เขาให้ประเด็นสำคัญว่า อยู่ที่ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องที่คนเข้าใจได้จริงได้ดีแค่ไหน
“เรื่องขยะพูดกันมาเยอะ แต่ผมก็เลือก จัดสัมมนาเรื่องขยะ กทม.เป็นงานแรก เอาชุมชนมาฟัง บอกเขาถึงปัญหาขยะ ถ้าไม่แยก ขยะเปียกจากขยะแห้งเขาจะฝังรวมกันหมด สุดท้ายก็เกิดก๊าซเรือนกระจก เชื่อไหมว่า ยังมีคนไม่เข้าใจ มีชุมชนบอกว่าเขาไม่รู้มาก่อน ถ้าบอกอย่างนี้ว่ามันสำคัญอย่างไรที่ต้องทำเขาก็ทำแล้ว ที่ผ่านมาส่วนใหญ่บอกให้ reuse recycles เขาไม่เข้าใจ”
และเพื่อไม่ต้องให้คิดเยอะปฏิบัติได้ทันที ดร.เมธาคุณให้หลักการง่ายๆ ในการจัดการขยะรอบตัวพวกเขาว่า “อันไหนที่ใช้ได้ เก็บไว้ใช้ ที่ขายได้เก็บไว้ขาย ที่ต้องทิ้งแยกทิ้งสองถัง แห้งกับเปียก”
เป็นความง่ายที่การจัดการแต่แทรกหัวใจความสำเร็จในเชิงเศรษฐศาสตร์ไว้ให้เห็น โดยไม่ต้องคิดถึงการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการคัดแยกขยะ
“นี่คือหลักการที่ผมพูดกับชุมชน เพราะผมคิดว่าจะทำเรื่องขยะให้ยั่งยืนได้ ต้องได้ตังค์ ขั้นตอนต่อไป เมื่อเราจะพูดเรื่องการคัดแยกขยะถ้าคน กทม.ไม่ถนัดที่จะสื่อสาร เราก็เอาท์ซอสจ้างผู้เชี่ยวชาญมาจัดนิทรรศการเรื่องคัดแยกขยะตอกย้ำอีกที เท่านั้นก็ทำให้การสื่อสารได้ผลมากขึ้น กทม.ก็ได้ภาพของการสื่อสารกับคน กทม.ที่ทันสมัยในสายตาผู้บริโภคอีกด้วย”
กระบวนการเปลี่ยนแปลงจากเรื่องขยะ กทม.ไม่ได้หยุดแค่ชุมชน แต่ภายใต้อำนาจการดำเนินงานของกรุงเทพธนาคม ซึ่งมีอำนาจบริหารจัดการโครงการภายใต้งบประมาณที่มีมูลค่าโครงการไม่เกินพันล้านบาท กำลังนำมาซึ่งการแก้ปัญหาขยะก้อนใหญ่ของกทม.อย่างเป็นระบบเพิ่มขึ้นด้วย
ที่ผ่านมา ครัวเรือนใน กทม.ที่แยกขยะ ด้วยตัวเอง ซาเล้งและนักคุ้ยขยะบวกกับพนักงานเก็บขยะกว่าพันคนที่กระจายเก็บขยะ ทั่ว กทม.รวมกัน สามารถลดปริมาณขยะ กทม.ลงไปได้ 1,000 ตัน จากปริมาณขยะทั้งหมดใน กทม.เฉลี่ยวันละ 10,000 ตัน เรียกว่า 1,000 ตันแรกนั้นผันไปเป็นรายได้ให้กับสเต๊กโฮลเดอร์ เป็นขยะที่มีมูลค่า เพิ่มโดยตรง คิดแล้วไม่ต่างจากการเป็นสินค้า ที่เพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่ง ดร.เมธาคุณประเมินว่าใน กทม.มีคนที่หากินอยู่กับขยะนับหมื่นคนเลยทีเดียว แต่ปริมาณขยะอีกวันละ 9,000 ตันที่เหลือ มีทั้งปัญหาและมูลค่าที่ กทม.ต้องจัดการในขั้นตอนต่อไป
กทม.มีหน้าที่ตั้งแต่เริ่มต้นขนส่งขยะคือจากแหล่งกำเนิดขยะมาสู่โรงจัดการขยะ ขยะจำนวนนี้ถูกแบ่งเป็น 2 สาย แต่ละสายมีบริษัทรับเหมากำจัดดูแลอยู่ด้วยอัตราค่าจ้าง กำจัดจาก กทม.ตันละ 500 บาท ด้วยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำบวกกับสัมปทานในการรับกำจัด ระยะสั้นครั้งละ 5 ปี ขยะ กทม.จึงถูกจำกัดรูปแบบกำจัดไว้แค่การฝังกลบ และทำให้ขยะ อินทรีย์ซึ่งมีปริมาณสูงกลายเป็นเชื้อหมักชั้นดี ที่นอกจากส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งบริเวณพื้นที่ฝังกลบและบริเวณใกล้เคียงที่ลมพัดไปถึง ยังเป็นแหล่งกำเนิดก๊าซมีเทนที่ส่งผลกระทบต่อโลกร้อนมากยิ่งกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 20 เท่า
“ผมมองว่าธุรกิจนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจที่ทำกำไรสูงสุด แต่มันสร้างงานและสร้าง ประโยชน์ให้กับคนที่เกี่ยวข้อง เหมือนซาเล้งที่มีมานานเพราะเขาเห็นโอกาสจากการขายของเก่าเราเพียงแค่เอากลไกเศรษฐศาสตร์มานำหน้าขยายผล วัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดผลกำไรสูงสุดต่อทุกฝ่าย ผู้บริโภคได้ สังคมโดยรวมได้ กลไกเศรษฐศาสตร์ที่ดีของยุคนี้ต้องเป็น win-win เท่านั้น ไม่มี win-lose”
นั่นคือบทสรุปแนวคิดที่ ดร.เมธาคุณนำมาขยายผลต่อกับการบริหารจัดการขยะ เมื่อโจทย์มีว่า กทม.ต้องการให้การคัดแยกขยะ ปลายทางมีประสิทธิภาพสูงขึ้นแต่จ่ายเท่าเดิม จะมีอะไรจูงใจให้ผู้รับกำจัดยอมลงทุนกับกองขยะ ของ กทม.มากกว่าแค่การฝังกลบ
“เราเริ่มจากเจรจากับผู้รับเหมาราคาเดิม แต่ให้แยกและจัดการขยะเพิ่มขึ้นมากกว่าฝังกลบ ทุกอย่างอย่างเดียว อะไรที่จะทำให้เขายอมทำ ถ้าสัมปทานแค่ 5 ปีทำให้เขาไม่มั่นใจที่จะลงทุนสร้างโรงคัดแยก กทม.ก็ไม่อยากจ่ายเพิ่ม ในขั้นต้น จึงลงตัวที่เราจะขยายอายุสัมปทานจาก 5 ปีให้นานขึ้น ส่วนเขาก็มีงานเพิ่มประสิทธิภาพขยะ”
การเปลี่ยนแปลงในเบื้องต้นของปลายทาง ขยะจาก กทม. กำลังจะเปลี่ยนให้มีการคัดแยก สูงขึ้นโดยการลงทุนโรงคัดแยกขยะของผู้ได้รับสัมปทาน เป้าหมายเพื่อคัดแยกขยะที่สามารถนำ มาปั้นก้อนเพื่อเป็นพลังงานความร้อนจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งมีกฎหมายระบุให้เป็นผู้กำจัดขยะแทนเตาเผาขยะจากกระบวนการผลิตปูนที่ต้องใช้อุณหภูมิในการเผาไหม้สูง
“โรงปูนก็เป็นอีกสเต๊กโฮลเดอร์ที่เขาต้อง หาขยะมาเป็นเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง แต่ติดข้อแม้ว่าไม่มีบทบาทในการขนส่งขยะ หรือแม้แต่จะพูดว่า ขนขยะจากที่อื่นมาเผาในโรงปูน ก็จะเกิดความขัดแย้งกับชุมชนใกล้เคียงทันที เราเรียกโรงปูน 3 แห่งมานั่งคุย ทุกคนยินดีหากได้ขยะปั้นก้อนมา เป็นเชื้อเพลิง นั่นเท่ากับ win-win ทุกฝ่าย โรงขยะคัดแยกมีรายได้เพิ่มจากขยะปั้นก้อนที่ขายเป็นเชื้อเพลิง มีระยะเวลาสร้างรายได้อย่างมั่นคง โรงปูนมีเชื้อเพลิงที่เอาไปเคลมคาร์บอนเครดิตได้อีก คนกรุงเทพฯ ก็ไม่ต้องวุ่นวายประท้วงเพราะไม่จำเป็นต้องมีเตาเผาขยะ ผู้ว่าฯ กทม.เองซึ่งหาเสียงว่าจะทำให้ กทม.เป็นเมืองปลอดขยะ ก็มีแนวโน้มจะเป็นจริงได้และไม่ใช่แค่การเอาขยะ ไปทิ้งที่อื่น”
ทั้งหมดนี้คือทฤษฎีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียง่ายๆ ที่ ดร.เมธาคุณนำมาใช้จัดการขยะ เพื่อเปลี่ยน กทม.สู่เมืองสีเขียว โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ ระดับบุคคลผู้อยู่อาศัยที่เป็นหน่วยย่อยที่สุดในเมือง ไปสู่แหล่งรวมขยะกองโตที่ปลายทาง นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมในแบบง่ายๆ ที่เขาเชื่อว่ากลยุทธ์ที่ให้ประโยชน์กับทุกฝ่ายนั่นเองคือแก่นแท้ของการแก้ปัญหาในแบบนวัตกรรมสังคมที่เห็นผลและจะเป็นทางออกของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ขอบคุณ : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
ทหารเขมรยั่วยุไทยไม่เลิก ระเบิดดังสนั่นใกล้“ภูมะเขือ”กลางดึกกว่า 30 นัด
ศรีสะเกษ - ทหารเขมรยั่วยุไทยไม่เลิก เสียงระเบิดดังสนั่นกลางดึกว่า 30 นัด ที่บริเวณช่องแปดหลัก ติด“ภูมะเขือ”ทิศตะวันตกเขาวิหาร บ.หนองอุดม เผยใกล้จุดผู้ว่าฯ ศรีสะเกษและคณะนอนพักค้างคืนในหมู่บ้านชายแดนเป็นขวัญกำลังใจชาวบ้าน ผู้ว่าฯศรีสะเกษเผยเสียงระเบิดดังอยู่ในเขตกัมพูชาใช้ระเบิดขว้างถล่มยั่วยุใกล้ฐานที่ตั้งทหารไทย แต่ฝ่ายไทยไม่ตอบโต้ ระบุเร่งสร้างหลุมหลบภัยเพิ่ม 451 แห่ง ขณะชาวบ้านผวาเฝ้าระวังเตรียมอพยพทั้งคืน ด้านตร.ระดมกำลังตรวจเข้ม
วันนี้ (16 ก.พ.) เมื่อเวลา 09.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ด้าน จ.ศรีสะเกษ พล.ต.ต.เสริมสุข วีรวงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) ศรีสะเกษ และ พ.ต.อ.สมพจน์ ขอมปรางค์ ผู้กำกับการ(ผกก.) สภ.กันทรลักษ์ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจเข้มเป็นประจำทุกคืน ทุกหมู่บ้านที่อยู่ติดกับแนวชายแดนไทย- กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกหมู่บ้านในเขต ต.เสาธงชัย ต.ภูผาหมอก และ ต.รุง อ.กันทรลักษ์ ซึ่งอยู่ติดกับแนวชายแดนมากที่สุด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันกันก่ออาชญากรรม และรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ร่วมกับฝ่ายทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2)
นายโชคชัย สายแก้ว นายก อบต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ 02.00 น-04.00 น. คืนวันนี้ (16 ก.พ. ) ได้มีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวที่บริเวณช่องแปดหลัก ใกล้กับบ้านหนองอุดม ต.รุง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ติดกับภูมะเขือ ทางทิศตะวันตกเขาพระวิหารโดยมีเสียงดังคล้ายระเบิดประมาณ 30 -40 ครั้ง พอใกล้สว่างเหตุการณ์จึงได้สงบลง ซึ่งเสียงคล้ายระเบิดที่ดังอย่างต่อเนื่องนี้เกิดขึ้นในเขตพื้นที่ปัญหา 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) แต่ทหารไทยไม่ได้มีการยิงตอบโต้แต่อย่างใด
ทั้งนี้ บริเวณที่เกิดเหตุนี้อยู่ใกล้กับบ้านรุง ต.รุง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสถานที่ที่นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้นำคณะหัวหน้าส่วนราชการเข้าไปนอนพักค้างคืนอยู่ในหมู่บ้ายชายแดน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับประชาชน แต่ไม่มีกระสุนปืนใหญ่เข้ามาในเขตแดนไทยแต่อย่างใด
นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ตลอดคืนที่ผ่านมาได้นอนพักค้างคืนอยู่ที่บ้านรุง ต.รุง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทย - กัมพูชา ไม่มากนัก เสียงคล้ายระเบิดที่ดังขึ้นนั้น จากการตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ได้อยู่ในเขตแดนไทยแต่มีเสียงดังอยู่ในเขตของกัมพูชา ซึ่งคาดว่าเป็นการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาที่อาจใช้ระเบิดขว้างเข้ามาใกล้กับฐานที่ตั้งของทหารไทย แต่ทหารไทยไม่ได้มีการตอบโต้แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมเผชิญเหตุภัยการสู้รบที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ดังนั้นจึงต้องเร่งดำเนินซ่อมแซมหลุมหลบภัย รวมทั้งสร้างหลุมหลบภัยขึ้นมาใหม่ตามหมู่บ้านชายแดนด้านเขาพระวิหารโดยหลุมหลบภัยเดิมมีอยู่จำนวน 326 จุด ต้องทำการซ่อมแซมจำนวน 297 จุด และต้องสร้างเพิ่มเติมขึ้นใหม่ทุกหมู่บ้านจำนวน 451 จุด ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงระหว่างรออนุมัติงบประมาณจากส่วนกลาง ส่วนการดำเนินการก่อสร้างหลุมหลบภัยจะแล้วเสร็จภายใน 30 วันครบทุกจุด
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการซ่อมแซมบ้านเรือนของชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายจากกระสุนปืนใหญ่นั้น ขณะนี้กลุ่มอาชีวศึกษาศรีสะกษ ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ ร่วมกับกองพันทหารช่างที่ 6 กองทัพภาคที่ 2 กำลังเร่งดำเนินการก่อสร้างเพื่อให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยคาดว่าบ้านเรือนของประชาชนที่ถูกกระสุนปืนใหญ่ฝ่ายกัมพูชาเสียหายทั้งหลังจำนวน 7 หลังนั้น จะใช้เวลาก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 35 วัน ส่วนการซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหายบางส่วนขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 50 % เพื่อให้ชาวบ้านสามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้ตามเดิมต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติม ว่า จากการที่มีเสียงระเบิดดังต่อเนื่องครั้งนี้ ล่าสุดนี้ชาวบ้านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้อพยพออกจากพื้นที่แต่อย่างใด เนื่องจากเสียงดังที่เกิดขึ้นอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา อีกทั้งไม่ได้มีการยิงกระสุนปืนใหญ่เข้ามาในเขตแดนไทย
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านภูมิซรอล บ้านหนองเม็ก และ บ้านซำเม็ง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ได้ตื่นนอนขึ้นมานั่งเฝ้าระวังสถานการณ์คอยฟังเสียงระเบิดดังกล่าวตลอดทั้งคืนกระทั่งเหตุการณ์สงบ ทั้งนี้เพื่อเตรียมพร้อมอพยพเข้าไปอยู่ในที่ปลอดภัยได้ทันที หากสถานการณ์รุนแรง
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. คืนที่ผ่านมา ( 15 ก.พ.) ได้มีเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง ที่บริเวณภูมะเขือ ด้านทิศตะวันตกของเขาพระวิหาร โดยเสียงดังคล้ายระเบิดดังกล่าวอยู่ในเขตของกัมพูชา และทหารไทยไม่ได้ทำการตอบโต้ ซึ่งคาดว่าเป็นการยั่วยุของทหารกัมพูชาเช่นกัน
ด้าน พล.ต.ต.เสริมสุข วีรวงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ช่วงนี้ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจตราเข้มงวดตามหมู่บ้านชายแดนด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนที่อพยพกลับมาอยู่บ้านเรือนของตัวเอง อีกทั้งเป็นการป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สิของชาวบ้าน และเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามหรือมือที่สามเข้ามาสร้างความวุ่นวายตามเขตแดนไทยในช่วงที่เหตุการณ์กำลังเข้าสู่ภาวะปกติ
“ตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับของทางฝ่ายกัมพูชาแล้วจำนวนทั้งสิ้น 7 คน ขณะนี้กำลังเร่งทำการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริง รวมทั้งได้ประสานกับทางฝ่ายทหารเพื่อรักษาความปลอดภัยและเพื่อความมั่นคงในเขตพื้นที่จ.ศรีสะเกษ อย่างเต็มที่ต่อไป” พล.ต.ต.เสริมสุข กล่าว
ขอบคุณ : manager.co.th
วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
คำทำนายของหลวงพ่อฤษีลิงดำ
หลวงพ่อฤาษีลิงดำบรรยายเรื่อง "อนาคตของประเทศชาติ"
(ภาพยืนแถวหลัง : หลวงพ่อพระมหาวีระ, หลวงปู่คำแสน,
หลวงปู่ธรรมชัย, หลวงปู่ชัยวงศ์, หลวงปู่พระมหาอำพัน, พระสมชาย)
เรื่องมีอยู่ว่า... ท่านพลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ (ยศและตำแหน่งสมัยนั้น) ได้นิมนต์ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) พร้อมด้วยพระเถระรวม ๖ รูป เพื่อไปบำรุงขวัญของทหารในเขตกองทัพภาคที่ ๒ โดยนำ "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" และ "เหรียญเอกราช" ไปแจกให้แก่ทหารตามฐานปฏิบัติการชายแดน ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘
และในวันสุดท้ายคือวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ ได้ทำการแจกให้แก่ทหาร ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา และก่อนทำการแจกได้แสดงธรรมิกถาพิเศษ เรื่อง “อนาคตของชาติ” ณ พุทธศาสนสถาน ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา
มูลเหตุที่มาแจกวัตถุมงคล
“..เจริญสุข แก่บรรดาทหารของชาติทุกท่าน อาตมาได้ไปทำการจากจ่ายผ้ายันต์และเหรียญแก่ทหารทางภาคเหนือมาแล้ว ๓ ครั้ง ต่อมาได้ทราบจากข้าหลวงของสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่า
“...สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงปรารภว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านไม่ห่วงทหารภาคอีสานหรืออย่างไร จึงไม่ไปแจกของแก่ทหารทางภาคอีสานบ้าง..”
ความจริงอาตมาห่วงทหารทางภาคอีสานเช่นเดียวกับทหารทางภาคเหนือ เมื่อท่านผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ รับจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางมาแจกจ่าย จึงได้นำสิ่งของมาแจกให้ครั้งนี้
ขั้นแรกอนุศาสนาจารย์ได้อาราธนาให้แสดงธรรม ต่อมาท่านผู้บัญชาการกองพลได้อาราธนาให้เล่าเรื่องของที่นำมาแจกจ่ายว่าทรงคุณค่าอย่างไรบ้าง ผู้ที่ได้รับแจกไปจะได้เกิดศรัทธาความเชื่อมั่น
เพื่อสนองเจตนาของอนุศาสนาจารย์และท่านผู้บังคับบัญชากองพลที่ ๓ ได้อาราธนาจึงขอพูดเรื่องธรรมะก่อนสักเล็กน้อย จากนั้นจึงจะพูดถึงเรื่องสิ่งของที่นำมาแจกจ่าย
เราทุกคนอยากมีความดีด้วยกันทั้งนั้น แม้บางคนนึกว่าตนเองอยากมั่งอยากมี อยากมียศมีอำนาจ แต่ความจริงแล้วก็คืออยากมีดีนั่นเอง
แม้เราจะมียศสูง แต่ถ้าใครมาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นใครจะอยากอะไรก็ตามเถอะ แต่ที่สุดของความอยากนั้นก็คือความดีนั่นเอง
รักษาศีล 5 ให้ได้
ความดีนั้นมีกฏเกณฑ์ที่เราจะต้องทำเป็นเบื้องต้น 5 ประการ คือ
1. เราไม่อยากให้ใครมาฆ่า รังแก ข่มเหงเรา เราก็อย่าไปฆ่า ไปรังแก ไม่ข่มเหงเขา
2. เราไม่อยากให้ใครมาลักของๆ เรา เราก็อย่าไปลักของๆ เขา
3. เราไม่อยากให้ใครมาผิดลูกผิดเมียเรา เราก็อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขา
4. เราไม่อยากให้ใครมาโกหกเรา เราก็อย่าไปโกหกเขา
5. เราไม่อยากเป็นคนบ้า ก็อย่าไปดื่มสุราเมรัย เพราะถ้าเราดื่มสุรามากๆ เราจะกลายเป็นคนบ้า
เจริญพรหมวิหาร ๔ ไว้
ความดีที่สูงขึ้นไปอีกที่เราควรประพฤติเป็นหลักในการดำรงชีวิต เพื่อความสุขความเจริญแก่ตนเองคือ พรหมวิหาร มี ๔ ประการคือ
1. เมตตา ความรัก เราต้องรักตัว รักครอบครัว รักญาติพี่น้องหมู่คณะ ตลอดจนถึงรักประเทศชาติ
2. กรุณา ความสงสาร ที่มีต่อบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยาก อยากให้เขาพ้นจากความทุกข์ทรมานที่เขารับอยู่
3. มุทิตา ยินดีด้วยเมื่อบุคคลอื่นได้ดีมีความสุข ไม่ริษยาเขา เขาได้ดีก็ชื่นชมอนุโมทนาด้วย
4. อุเบกขา วางเฉย เช่น เมื่อลูกของเรา ญาติพี่น้อง หรือพรรคพวกของเราไม่ทำผิด เราต้องวางตัวเป็นกลาง เมื่อเขาจะได้รับโทษก็ถือเป็นกรรมของเขา ไม่ช่วยเหลือเขาในทางที่ผิด
เว้นจากความลำเอียงทั้ง ๔ ประการ
ผู้ที่จะมีคุณธรรมในข้อที่ ๔ นี้จำเป็นจะต้องมีคุณธรรมข้ออื่นสนับสนุน คือเราต้องเว้นจาก อคติ คือ
๑. ความลำเอียงเพราะความรัก
๒. ความลำเอียงเพราะความชัง
๓. ความลำเอียงเพราะความหลง
๔. ความลำเอียงเพราะความกลัว
ทหารแปลว่าคนหนุ่ม
ทหารทุกคนต้องเป็นคนหนุ่ม แม้จะแก่อายุมากแล้วก็ต้องทำตัวเป็นคนหนุ่ม เพราะคำว่า "ทหาร" แปลว่า "คนหนุ่ม"
คนหนุ่มนั้นจะต้องเป็นคนแข็งแรงว่องไวกล้าหาญบึกบึน มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความสามัคคีรักใคร่กัน ไม่ทอดทิ้งกันเมื่อมีภัย ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท
และข้อสำคัญที่สุดนั้นต้องยอมตายเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเมื่อถึงคราวจำเป็น นี้พูดอย่างทหาร เพราะอาตมาเคยเป็น "ทหารเรือ" มาแล้ว ย่อมรู้จักชีวิตวิญญาณของทหารดี
ทหารไปรบถือว่าทำเพื่อชาติบ้านเมือง
ทหารที่ไปราชการสงครามเพื่อป้องกันอริราชศัตรูนั้น หากไปฆ่าข้าศึกศัตรูก็ไม่ถือว่าเป็นความชั่ว แต่เป็นการทำดีต่างหาก เพราะเราทำหน้าที่ป้องกันสิ่งที่ดีงามเอาไว้
ความดีนั้นคือความอยู่รอดของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุขของปวงชนในผืนแผ่นดินไทยทุกคน
ความสงบสุขนั้นเป็นยอดของความดีทั้งมวล การที่เรายอมเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของเราเพื่อรักษาความดีทั้งหลายดังกล่าวมาแล้วนั้นไว้ จึงได้ชื่อว่าเราทุกคนได้ทำความดี สมศักดิ์ศรีของทหารไทย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นบาปกรรม
ภูอันธพาล (ภูพาน)
อาตมาขึ้นเครื่องบินผ่านภูอันธพาล ไม่อยากเรียกว่า "ภูพาน" ดังที่เขาเรียกกัน เพราะภูนี้มีแต่พวกอันธพาลทั้งนั้น ได้พิจารณาถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและการสู้รบของทหารเห็นว่า
เราทุกคนจะไม่แพ้ จะไม่ต้องตกเป็นทาสของใครๆ ดังที่พวกเราพากันวิตกกังวลกันอยู่ในขณะนี้
แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปริวิตกและทรงมีความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง
ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังวัดของอาตมา (วัดท่าซุง) และได้ตรัสถามความเป็นไปของบ้านเมืองในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร
(ภาพจากซ้าย : คุณเฉิดศรี (อ๋อย) ศุขสวัสดิ์, พล.อ.ชวาล กาญจนกุล,
หลวงปู่คำแสนเล็ก, หลวงปู่ชุ่ม, หลวงปู่ธรรมชัย, หลวงปู่สิม,
หลวงพ่อพระมหาวีระ, พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์)
อนาคตของชาติ
อาตมาได้ถวายพระพรพระองค์ว่า
“ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะไม่ตกเป็นทาสของใคร อาตมาขอถวายชีวิตเป็นประกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นจะเริ่มปรากฏ ความมั่งคั่งสมบูรณ์จะมีขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน แต่จะยังไม่ปรากฏชัดนัก แต่เราจะมองเห็นได้ชัดๆ ก็ต้องปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เปรียบเหมือนอรุณได้ขึ้นดีแล้วและเริ่มฉายแสงให้เห็นความมืดหมดไป”
ที่อาตมากล้ายืนยันต่อพระองค์เช่นนั้น ก็เพราะเหตุผลหลายประการ คือ
คำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์
ในประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ
โดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า
“กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แจ่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรี
อยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่”
และเหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง
ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๑๐ รัชกาล
ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้
รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล
อนาคตของประเทศชาติ
บรรยายโดย..พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
เมื่อวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘
มัชฌิมา : ผู้คัดลอก
(อ้างอิงจาก "หนังสือธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๓๒๐
ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐ หน้า ๔๓-๕๒ "ธรรมกถา")
บรรยายโดย..พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
เมื่อวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘
มัชฌิมา : ผู้คัดลอก
(อ้างอิงจาก "หนังสือธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๓๒๐
ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐ หน้า ๔๓-๕๒ "ธรรมกถา")
หลวงปู่ธรรมชัย, หลวงปู่ชัยวงศ์, หลวงปู่พระมหาอำพัน, พระสมชาย)
เรื่องมีอยู่ว่า... ท่านพลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ (ยศและตำแหน่งสมัยนั้น) ได้นิมนต์ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) พร้อมด้วยพระเถระรวม ๖ รูป เพื่อไปบำรุงขวัญของทหารในเขตกองทัพภาคที่ ๒ โดยนำ "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" และ "เหรียญเอกราช" ไปแจกให้แก่ทหารตามฐานปฏิบัติการชายแดน ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘
และในวันสุดท้ายคือวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ ได้ทำการแจกให้แก่ทหาร ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา และก่อนทำการแจกได้แสดงธรรมิกถาพิเศษ เรื่อง “อนาคตของชาติ” ณ พุทธศาสนสถาน ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา
มูลเหตุที่มาแจกวัตถุมงคล
“..เจริญสุข แก่บรรดาทหารของชาติทุกท่าน อาตมาได้ไปทำการจากจ่ายผ้ายันต์และเหรียญแก่ทหารทางภาคเหนือมาแล้ว ๓ ครั้ง ต่อมาได้ทราบจากข้าหลวงของสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่า
“...สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงปรารภว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านไม่ห่วงทหารภาคอีสานหรืออย่างไร จึงไม่ไปแจกของแก่ทหารทางภาคอีสานบ้าง..”
ความจริงอาตมาห่วงทหารทางภาคอีสานเช่นเดียวกับทหารทางภาคเหนือ เมื่อท่านผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ รับจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางมาแจกจ่าย จึงได้นำสิ่งของมาแจกให้ครั้งนี้
ขั้นแรกอนุศาสนาจารย์ได้อาราธนาให้แสดงธรรม ต่อมาท่านผู้บัญชาการกองพลได้อาราธนาให้เล่าเรื่องของที่นำมาแจกจ่ายว่าทรงคุณค่าอย่างไรบ้าง ผู้ที่ได้รับแจกไปจะได้เกิดศรัทธาความเชื่อมั่น
เพื่อสนองเจตนาของอนุศาสนาจารย์และท่านผู้บังคับบัญชากองพลที่ ๓ ได้อาราธนาจึงขอพูดเรื่องธรรมะก่อนสักเล็กน้อย จากนั้นจึงจะพูดถึงเรื่องสิ่งของที่นำมาแจกจ่าย
เราทุกคนอยากมีความดีด้วยกันทั้งนั้น แม้บางคนนึกว่าตนเองอยากมั่งอยากมี อยากมียศมีอำนาจ แต่ความจริงแล้วก็คืออยากมีดีนั่นเอง
แม้เราจะมียศสูง แต่ถ้าใครมาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นใครจะอยากอะไรก็ตามเถอะ แต่ที่สุดของความอยากนั้นก็คือความดีนั่นเอง
รักษาศีล 5 ให้ได้
ความดีนั้นมีกฏเกณฑ์ที่เราจะต้องทำเป็นเบื้องต้น 5 ประการ คือ
1. เราไม่อยากให้ใครมาฆ่า รังแก ข่มเหงเรา เราก็อย่าไปฆ่า ไปรังแก ไม่ข่มเหงเขา
2. เราไม่อยากให้ใครมาลักของๆ เรา เราก็อย่าไปลักของๆ เขา
3. เราไม่อยากให้ใครมาผิดลูกผิดเมียเรา เราก็อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขา
4. เราไม่อยากให้ใครมาโกหกเรา เราก็อย่าไปโกหกเขา
5. เราไม่อยากเป็นคนบ้า ก็อย่าไปดื่มสุราเมรัย เพราะถ้าเราดื่มสุรามากๆ เราจะกลายเป็นคนบ้า
เจริญพรหมวิหาร ๔ ไว้
ความดีที่สูงขึ้นไปอีกที่เราควรประพฤติเป็นหลักในการดำรงชีวิต เพื่อความสุขความเจริญแก่ตนเองคือ พรหมวิหาร มี ๔ ประการคือ
1. เมตตา ความรัก เราต้องรักตัว รักครอบครัว รักญาติพี่น้องหมู่คณะ ตลอดจนถึงรักประเทศชาติ
2. กรุณา ความสงสาร ที่มีต่อบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยาก อยากให้เขาพ้นจากความทุกข์ทรมานที่เขารับอยู่
3. มุทิตา ยินดีด้วยเมื่อบุคคลอื่นได้ดีมีความสุข ไม่ริษยาเขา เขาได้ดีก็ชื่นชมอนุโมทนาด้วย
4. อุเบกขา วางเฉย เช่น เมื่อลูกของเรา ญาติพี่น้อง หรือพรรคพวกของเราไม่ทำผิด เราต้องวางตัวเป็นกลาง เมื่อเขาจะได้รับโทษก็ถือเป็นกรรมของเขา ไม่ช่วยเหลือเขาในทางที่ผิด
เว้นจากความลำเอียงทั้ง ๔ ประการ
ผู้ที่จะมีคุณธรรมในข้อที่ ๔ นี้จำเป็นจะต้องมีคุณธรรมข้ออื่นสนับสนุน คือเราต้องเว้นจาก อคติ คือ
๑. ความลำเอียงเพราะความรัก
๒. ความลำเอียงเพราะความชัง
๓. ความลำเอียงเพราะความหลง
๔. ความลำเอียงเพราะความกลัว
ทหารแปลว่าคนหนุ่ม
ทหารทุกคนต้องเป็นคนหนุ่ม แม้จะแก่อายุมากแล้วก็ต้องทำตัวเป็นคนหนุ่ม เพราะคำว่า "ทหาร" แปลว่า "คนหนุ่ม"
คนหนุ่มนั้นจะต้องเป็นคนแข็งแรงว่องไวกล้าหาญบึกบึน มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความสามัคคีรักใคร่กัน ไม่ทอดทิ้งกันเมื่อมีภัย ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท
และข้อสำคัญที่สุดนั้นต้องยอมตายเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเมื่อถึงคราวจำเป็น นี้พูดอย่างทหาร เพราะอาตมาเคยเป็น "ทหารเรือ" มาแล้ว ย่อมรู้จักชีวิตวิญญาณของทหารดี
ทหารไปรบถือว่าทำเพื่อชาติบ้านเมือง
ทหารที่ไปราชการสงครามเพื่อป้องกันอริราชศัตรูนั้น หากไปฆ่าข้าศึกศัตรูก็ไม่ถือว่าเป็นความชั่ว แต่เป็นการทำดีต่างหาก เพราะเราทำหน้าที่ป้องกันสิ่งที่ดีงามเอาไว้
ความดีนั้นคือความอยู่รอดของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุขของปวงชนในผืนแผ่นดินไทยทุกคน
ความสงบสุขนั้นเป็นยอดของความดีทั้งมวล การที่เรายอมเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของเราเพื่อรักษาความดีทั้งหลายดังกล่าวมาแล้วนั้นไว้ จึงได้ชื่อว่าเราทุกคนได้ทำความดี สมศักดิ์ศรีของทหารไทย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นบาปกรรม
ภูอันธพาล (ภูพาน)
อาตมาขึ้นเครื่องบินผ่านภูอันธพาล ไม่อยากเรียกว่า "ภูพาน" ดังที่เขาเรียกกัน เพราะภูนี้มีแต่พวกอันธพาลทั้งนั้น ได้พิจารณาถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและการสู้รบของทหารเห็นว่า
เราทุกคนจะไม่แพ้ จะไม่ต้องตกเป็นทาสของใครๆ ดังที่พวกเราพากันวิตกกังวลกันอยู่ในขณะนี้
แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปริวิตกและทรงมีความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง
ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังวัดของอาตมา (วัดท่าซุง) และได้ตรัสถามความเป็นไปของบ้านเมืองในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร
(ภาพจากซ้าย : คุณเฉิดศรี (อ๋อย) ศุขสวัสดิ์, พล.อ.ชวาล กาญจนกุล,
หลวงปู่คำแสนเล็ก, หลวงปู่ชุ่ม, หลวงปู่ธรรมชัย, หลวงปู่สิม,
หลวงพ่อพระมหาวีระ, พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์)
อนาคตของชาติ
อาตมาได้ถวายพระพรพระองค์ว่า
“ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะไม่ตกเป็นทาสของใคร อาตมาขอถวายชีวิตเป็นประกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นจะเริ่มปรากฏ ความมั่งคั่งสมบูรณ์จะมีขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน แต่จะยังไม่ปรากฏชัดนัก แต่เราจะมองเห็นได้ชัดๆ ก็ต้องปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เปรียบเหมือนอรุณได้ขึ้นดีแล้วและเริ่มฉายแสงให้เห็นความมืดหมดไป”
ที่อาตมากล้ายืนยันต่อพระองค์เช่นนั้น ก็เพราะเหตุผลหลายประการ คือ
คำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์
ในประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ
โดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า
“กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แจ่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรี
อยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่”
และเหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง
ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๑๐ รัชกาล
ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้
รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล
เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาลก็จะเห็นได้ชัดว่า คำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด
รัชกาลที่ ๑. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ
รัชกาลที่ ๒. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยรวบรวมกันเป็นการใหญ่
รัชกาลที่ ๓. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้
รัชกาลที่ ๔. ท่านสนิทธรรม ก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน
รัชกาลที่ ๕. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค์ทรงยอมเสียแขนขาดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้
รัชกาลที่ ๖. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ไว้ว่า “ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย” ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างให้บุคคลอื่นเห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร
ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ ๑. จึงจำเป็นต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก
รัชกาลที่ ๗. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อน พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ต้องจำพระทัยสละราชสมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์
รัชกาลที่ ๘. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้นแสนสาหัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น
สำหรับรัชกาลต่อไป คือ รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย
ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้นรึ?
ปัญหาที่น่าคิดต่อไปก็คือว่า ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น? กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?
เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า
พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก”
รัชกาลที่ ๑. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ
รัชกาลที่ ๒. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยรวบรวมกันเป็นการใหญ่
รัชกาลที่ ๓. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้
รัชกาลที่ ๔. ท่านสนิทธรรม ก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน
รัชกาลที่ ๕. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค์ทรงยอมเสียแขนขาดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้
รัชกาลที่ ๖. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ไว้ว่า “ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย” ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างให้บุคคลอื่นเห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร
ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ ๑. จึงจำเป็นต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก
รัชกาลที่ ๗. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อน พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ต้องจำพระทัยสละราชสมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์
รัชกาลที่ ๘. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้นแสนสาหัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น
สำหรับรัชกาลต่อไป คือ รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย
ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้นรึ?
ปัญหาที่น่าคิดต่อไปก็คือว่า ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น? กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?
เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า
พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก”
ประการที่ ๒. ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจักไม่ตกเป็นทาสของใครๆ นั้นคือ พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนายนี้ก็มีปรากฏในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อความปรากฏโดยสังเขปดังนี้
“อานันทะ..ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก
แต่ว่า..อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล
หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาดสมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน
แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”
ความแม่นยำของพุทธทำนาย
จากพระพุทธเจ้าทำนายนี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิดต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์
หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบกระเทือนมาจนกระทั่งบัดนี้
มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง
ตามพระพุทธทำนายนั้นได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยบ้างแต่ไม่มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทยนี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และเป็นประเทศสุดท้ายที่พระพุทธศาสนายังเหลืออยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้
ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป
พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์
ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่า
พระเจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่งพระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน
ศาสนาจะอยู่ในเมืองไทยครบ ๕,๐๐๐ ปี
ส่วนพระองค์ได้เสด็จมาภายหลัง เมื่อเสด็จมาถึงเมืองนั้น ได้ทรงพยากรณ์เกี่ยวกับความเป็นไปในอนาคตของพระพุทธศาสนาไว้ว่า “พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นอยู่ในท้องถิ่นนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปี”
เมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่ได้ในผืนแผ่นดินไทยตามพระพุทธทำนาย ก็หมายความว่าเมืองไทยจะต้องไม่ตกเป็นทาสของใครๆ เพราะความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาเป็นของคู่กันมาแต่บรรพกาล เมืองไทยจะไม่ตกเป็นทาสของใคร
จากคำพยากรณ์ของพระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี คำบอกเล่าของพระเถระผู้ได้ฌานสมาบัติก็ดี และจากพระพุทธทำนายก็ดี เป็นหลักชี้ชัดให้เรามั่นใจได้ว่า
“เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้ แต่ข้อสำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกัน สามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลงไปกับคำยุแหย่ของบุคคลผู้มุ่งร้ายต่อชาติบ้านเมือง”
“อานันทะ..ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก
แต่ว่า..อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล
หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาดสมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน
แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”
ความแม่นยำของพุทธทำนาย
จากพระพุทธเจ้าทำนายนี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิดต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์
หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบกระเทือนมาจนกระทั่งบัดนี้
มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง
ตามพระพุทธทำนายนั้นได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยบ้างแต่ไม่มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทยนี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และเป็นประเทศสุดท้ายที่พระพุทธศาสนายังเหลืออยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้
ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป
พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์
ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่า
พระเจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่งพระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน
ศาสนาจะอยู่ในเมืองไทยครบ ๕,๐๐๐ ปี
ส่วนพระองค์ได้เสด็จมาภายหลัง เมื่อเสด็จมาถึงเมืองนั้น ได้ทรงพยากรณ์เกี่ยวกับความเป็นไปในอนาคตของพระพุทธศาสนาไว้ว่า “พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นอยู่ในท้องถิ่นนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปี”
เมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่ได้ในผืนแผ่นดินไทยตามพระพุทธทำนาย ก็หมายความว่าเมืองไทยจะต้องไม่ตกเป็นทาสของใครๆ เพราะความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาเป็นของคู่กันมาแต่บรรพกาล เมืองไทยจะไม่ตกเป็นทาสของใคร
จากคำพยากรณ์ของพระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี คำบอกเล่าของพระเถระผู้ได้ฌานสมาบัติก็ดี และจากพระพุทธทำนายก็ดี เป็นหลักชี้ชัดให้เรามั่นใจได้ว่า
“เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้ แต่ข้อสำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกัน สามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลงไปกับคำยุแหย่ของบุคคลผู้มุ่งร้ายต่อชาติบ้านเมือง”
ขอบคุณ : http://www.watthasung.com คัดลอกมาบางส่วน
ป้ายกำกับ:
คำทำนายดวงเมืองสยาม,
หลวงปู่ฤษีลิงดำ,
อนาคตของประเทศชาติ
ฮุนมาเน็ตส่งทหารกว่าพันชิดปอยเปต
ภาพประกอบ
"ฮุน มาเน็ต" ส่งทหารองค์รักษ์ฯกว่า 1,000 นาย พร้อมรถถัง 3 คันประชิดชายแดนปอยเปต อ้างคุ้มกัน"ฮุน เซน"มาเปิดถนนใกล้ปอยเปตความยาว 144 กม.จากปอยเปต ถึง กรุงไพลิน ตรงข้ามจันทบุรี ชาวเขมรตื่นข่าวลือ 15 ก.พ.กัมพูชาจะปิดด่านปอยเปตด้วย
เมื่อเช้าวันที่ 13 ก.พ. ด่านพรมแดนอรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งอยู่ตรงข้ามกรุงปอยเปต อ.โอวจโรว จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เจ้าหน้าที่ด่านพรมแดน ทั้งสองประเทศยังคงเปิดด่านฯตามปกติ และยังมีพ่อค้า แม่ค้า และกรรมกรชาวเขมรจำนวนกว่า 1 หมื่นคนเดินทางข้ามด่านพรมแดนฯจากฝั่งปอยเปต เข้ามาทำการค้าและรับจ้างในตลาดโรงเกลือ ฝั่งไทย ท่ามกลางกระแสข่าวลือที่สะพัดไปทั่วตลาดปอยเปต ฝั่งกัมพูชาว่าในวันที่ 15 ก.พ. 54 รัฐบาลกัมพูชาจะสั่งปิดด่านพรมแดนปอยเปต-อรัญประเทศ ฝั่งกัมพูชา ทำให้พ่อค้า แม่ค้าชาวเขมรต่างแตกตื่นเช็คข่าวกันให้วุ่น
โดยข่าวลือดังกล่าวได้ออกมาในช่วงที่รัฐบาลกัมพูชาประกาศว่าในวันที่ 15 ก.พ. 54 สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดการก่อสร้างถนนหมายเลข 59 ห่างจากกรุงปอยเปต ประมาณ 13 กม. ทำให้มีข่าวลือออกมาว่ารัฐบาลกัมพูชาเตรียมสั่งปิดด่านปอยเปต เพื่อต้อนรับและอารักษ์ขาความปลอดภัยให้กับสมเด็จฮุน เซน ในวันที่สมเด็จฮุน เซน มาเป็นประธานเปิดถนนฯ
จากข่าวลือว่ากัมพูชาจะปิดด่านปอยเปต ในวันที่ 15 ก.พ. 54 ที่จะถึงนี้หน่วยความมั่นคงของไทย ได้มีการตรวจสอบ และสอบถามไปยัง จนท.ฝ่ายกัมพูชา ในกรุงปอยเปต ซึ่ง จนท.กัมพูชาได้ให้รายละเอียดกลับมาว่ายังไม่มีคำสั่งปิดด่านปอยเปตใดๆ เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น และยอมรับว่าในวันที่ 15 ก.พ. 54 สมเด็จฮุน เซน จะเดินทางมาเป็นประธานเปิดการก่อสร้างถนนหมายเลข 59 จริง แต่ไม่มีการสั่งปิดด่านฯ
ส่วนทางด้านแหล่งข่าวทางทหารของกัมพูชาในฝั่งปอยเปต ได้อ้างว่า พล.ท.ฮุน มาเน็ต ซึ่งเป็นลูกชายของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา และดำรงค์ตำแหน่ง รอง ผบ.สส.กัมพูชา และ รอง ผบ.หน่วยองค์รักษ์ฮุน เซน ได้ส่งทหารหน่วยองค์รักษ์ฯจำนวนกว่า 1000 นาย พร้อมอาวุธสงครามครบมือ และรถถัง 3 คัน ลงมาเพื่อสนับสนุนและดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับสมเด็จฮุน เซน โดยเสริมกำลังเข้ามาประจำการตลอดแนวถนนหมายเลข 59 ซึ่งเป็นถนนที่จะก่อสร้างเลียบแนวชายแดนที่ติดกับประเทศไทยทางด้าน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ไปจนถึง กรุงไพลิน ตรงข้าม จ.จันทบุรี ของไทย มีระยะทางยาวกว่า 144 กม.โดยได้นำรถถัง 3 คันไปประจำการอยู่ที่บ้านเขาลูกช้าง อ.โอวจโรว จ.บันเตียเมียนเจย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ อ.อรัญประเทศ ของไทย และ พล.ท.ฮุน มาเน็ตฯจะมาบัญชาการหน่วยทหารองค์รักษ์ฯด้วยตนเอง
ถนนหมายเลข 59 นั้นจะเป็นถนนยุทธศาสตร์เส้นใหม่เลียบชายแดนของกัมพูชาเชื่อมต่อระหว่างกรุงปอยเปต อ.โอวจโรว จ.บันเตียเมียนเจย ผ่านไปยัง อ.สำเภารูน จ.พระตะบอง ซึ่งอยู่ตรงข้ามบ้านเขาดิน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว ไปจนถึง จ.ไพลิน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ จ.จันทบุรี ของไทย ระยะทางยาวกว่า 144 กม. โดยต้นทางมาเชื่อมต่อถนนหมายเลข 5 บริเวณแยกบ้านนิมิต อ.โอวจโรว จ.บันเตียเมียนเจย ซึ่งอยู่ห่างจากด่านพรมแดนอรัญประเทศ –ปอยเปต ประมาณ 13 กม.ซึ่งสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา จะเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดการก่อสร้างฯในวันที่ 15 ก.พ. 54 นี้
จากการที่ พล.ท.ฮุน มาเน็ต ได้ส่งกำลังหทารองค์รักษ์ฯจำนวนมากลงมาพื้นที่ติดชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ในครั้งนี้ ทำให้หน่วยความมั่นคงของไทยต้องระมัดระวังป้องกันอย่างเต็มที่เนื่องจากเกรงจะเกิดอุบัติเหตุทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันได้ อีกทั้งหน่วยองค์รักษ์ฯก็มาจากต่างพื้นที่และไม่รับฟังคำสั่งหน่วยทหารกัมพูชาในพื้นที่ด้วย เกรงจะเกิดการกระทบกระทั่งกันบริเวณชายแดน
ผลสำรวจ ปชช.กว่าร้อยละ 87ชื่นชมทหารไทย
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง เสียงสะท้อนของประชาชนต่อปัญหาชายแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ลพบุรี สมุทรปราการ จันทบุรี นครนายก สุพรรณบุรี พะเยา เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ อุบลราชธานี นครพนม ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา ตรัง และนครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 2,971 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการในช่วง 7 - 12 กุมภาพันธ์ 2554 ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90 ติดตามข่าวสารเป็นประจำทุกสัปดาห์
ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.7 วิตกกังวลต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่รัฐที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา รองลงมาคือ ร้อยละ 78.2 กังวลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 69.2 กังวลต่อความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของเด็กๆ ร้อยละ 69.1 กังวลต่อการเสียขวัญและกำลังใจของประชาชนตามแนวชายแดน ร้อยละ 68.3 กังวลต่อความมั่นคงของประเทศ ร้อยละ 64.2 กังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศ และร้อยละ 51.6 กังวลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก
เมื่อถามถึงความเหมาะสมในการทำหน้าที่ของทหารไทยในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.4 ระบุทหารไทยทำหน้าที่ได้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ดีแล้ว ในขณะที่ร้อยละ 12.6 ระบุยังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลไทยในการใช้วิธีแก้ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ผลสำรวจพบว่า อันดับแรก หรือร้อยละ 54.7 ระบุเป็นการเจรจาตรงระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา ในขณะที่ร้อยละ 17.3 ระบุการเจรจาผ่านองค์การสหประชาชาติ หรือประเทศที่เป็นกลาง ร้อยละ 5.0 เท่านั้นที่ระบุให้ทำสงคราม และร้อยละ 23.0 ระบุให้ใช้ทุกวิธี
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.8 ยังคงมีความหวังว่าจะหันมาร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาได้ด้วยดี ในขณะที่ ร้อยละ 19.2 ไม่มีความหวัง สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่า จำนวนมากหรือร้อยละ 41.3 เชื่อมั่นมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 30.7 เชื่อมั่นปานกลาง ในขณะที่ร้อยละ 28.0 เชื่อมั่นน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลย
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า ผลสำรวจในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า คนไทยเกือบทุกคนที่แสดงความห่วงใยต่อทหารและเจ้าหน้าที่รัฐผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องราชอาณาจักรของประเทศ ดังนั้นน่าจะถึงเวลาที่กลุ่มคนชนชั้นนำที่คอยชี้นำสังคม กลุ่มนายทุน ผู้ประกอบการค้าธุรกิจและประชาชนทุกหมู่เหล่าแสดงพลังความสามัคคีให้ปรากฏต่อสายตาชาวโลกด้วยสันติวิธีในเชิงสร้างสรรค์อย่าง นานาประเทศที่เจริญแล้ว ควรประพฤติปฏิบัติต่อกันว่าคนไทยทุกคนมี “สติ” และ “ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” และพร้อมส่งพลังความดีและปัจจัยสำคัญทั้งในรูปของการบริจาคสิ่งของยังชีพและทุนทรัพย์แก่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน พลเรือนทั้งคนไทยและชาวกัมพูชา บนพื้นฐานของหลักคุณธรรม ฉายภาพความเมตตาและเอื้ออาทรให้ชาวโลกได้เห็นว่า พลเรือนคนไทยและกัมพูชา ยังคงรักความสงบความมีไมตรีจิตต่อกัน ก็น่าจะทำให้ความหวังของคนไทยส่วนใหญ่เป็นจริงขึ้นมาได้ว่า ความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่าง ไทยกับกัมพูชา เป็นเรื่องที่ยังคงเป็นจริงขึ้นมาได้มากยิ่งขึ้น
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 48.9 เป็นชาย ร้อยละ 51.1 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 4.7 อายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 23.9 อายุระหว่าง 20–29 ปี ร้อยละ 26.4 อายุระหว่าง 30–39 ปี ร้อยละ 25.3 อายุระหว่าง 40–49 ปี และ ร้อยละ 19.7 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 63.4 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 31.3 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และร้อยละ 5.3 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตัวอย่างร้อยละ 31.6 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 28.0 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 8.6 ระบุเป็นพนักงานเอกชน ร้อยละ 15.1 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 7.3 ระบุเป็นนักเรียนนักศึกษา ร้อยละ 5.5 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 3.9 ว่างงาน/ไม่ได้ประกอบอาชีพ
ขอบคุณ : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)