วันนี้ (๒๒ ก.พ.๕๔) คงจะใจจด-ใจจ่อกันพอสมควร คืออยากทราบว่า ที่นายมาร์ตี นาตาเลกาวา รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดฯ ในฐานะ "ประธานอาเซียน" เชิญรัฐมนตรีอาเซียน ๑๐ ประเทศมากินข้าว-จิบไวน์ ทำหน้าที่ "กาวใจ" ระหว่างไทย-เขมรนั้น ได้ผลขนาดไหน เพราะเท่าที่ฟัง ตั้งแต่ UNSC บอกให้ ๒ ประเทศไปคุยกัน และให้อินโดฯ เป็นพี่เลี้ยง สมเด็จฮุน เซน ท่านก็พูดเช้าอย่าง บ่ายอย่าง เย็นอย่าง และละเมอตอนดึกอีกอย่าง
ทำไป-ทำมา เลเพลาดพาด ด่า "อาเซียน" ส่งเดชเลยว่า...มีน้ำยาอะไรที่คนอย่างเขาจะต้องฟัง ระดับเขา...โน่น ต้องยูเอ็น หรือศาลโลกเท่านั้น จึงจะคู่ควร!?
ผมน่ะสงสาร "นายฮอร์ นัมฮง" รัฐมนตรีต่างประเทศเขมร ท่านคงเวียนหัวน่าดู กับการที่มีลูกพี่ด้อย "วุฒิภาวะทางสมอง" หลงตัว-หลงตน แถมไม่อยู่กะร่อง-กะรอยเช่นนี้ แล้วท่านต้องเต้นตาม จนมีภาพเป็น มิสเตอร์ "ดันทุรังสูง" ตามไปด้วย
สำหรับไทยเรา ตั้งแต่เกิดเรื่อง ๔ กุมภา เขมรใช้ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นฐานปฏิบัติการ ยิงตูมตามเข้ามาจนบ้านเรือนฝั่งไทยไฟลุกท่วมพังพินาศ ผู้คนล้มตายไปตามๆ กัน
และทั้งระดับกองทัพ ระดับรัฐบาล ระดับกระทรวงการต่างประเทศ ก็แสดงการรับรู้ต่อความก้าวร้าว-หยาบคายของเพื่อนบ้านด้วยความอดทน-อดกลั้น บ่งถึงความเป็นผู้มีวุฒิภาวะ และมืออาชีพให้เห็น จะตอบโต้ก็ตอบโต้ในลักษณะตักเตือน "หมากัด-ไม่ลงไปฟัดกะหมา"
ยึดสันติ ไม่ทะเลาะเป็นที่ตั้ง!
การไม่ฉวยโอกาสกระทืบเด็กเกเร แต่ใช้การรวบรวมหลักฐานในสิ่งที่เขมรทำเกินเลยกับไทยไปอธิบาย ไปบอก ไปแสดงกับนานาชาติผ่านเวทีโลก ดูจะได้รับความเชื่อถือ ด้วยความเห็นใจและเข้าใจจากนานาชาติยิ่งขึ้น ตลอดถึงสื่อมวลชนที่เข้าไปทำข่าวในพื้นที่จริง
ประเทศที่หนุนหลังเขมร เพราะมีผลประโยชน์ทางธุรกิจแอบแฝงกันอยู่ เที่ยวนี้ดูจะหน่ายและระอากับฮุน เซน มากขึ้นทุกที เพราะฮุน เซน เอาพวกเขาแบขายกลางตลาดมากเกินไป เช่น ยังไม่ทันไรก็วิ่งโร่เอาเรื่องไปฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เป็นต้น ทำให้ชาวโลกเพ่งเล็งว่า
ฮุน เซน กับประเทศใน UNSC ในยูเนสโก ในคณะกรรมการมรดกโลก ต้องมีอะไรกันแน่?
ก็ตามที่เราคุยกันไปแต่วันแรกๆ นั่นแหละครับว่า นายกฯ ฮุน เซน ไม่ฉลาดเลยที่เล่นเกมถล่มไทย แล้วดันใช้ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นฐานการสู้รบ นั่นเท่ากับตัดทั้ง "หนทางตัวเอง" จะได้นำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และตัดทั้ง "หนทางช่วยเหลือ" จากประเทศพี่เบิ้มที่หนุนหลัง
เพราะการทำเช่นนั้น ผิดทั้งกฎบัตรสหประชาชาติ ผิดทั้งอนุสัญญามรดกโลก ปี พ.ศ.๒๕๑๓ ชัดแจ้ง สอดคล้องที่นายกฯ อภิสิทธิ์บอกวานซืน (๑๙ ก.พ.) ว่าได้โทรศัพท์คุยกับ "นางอีรินา โบโกวา" ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก และมีความเห็นตรงกันว่า
"แผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารยังไม่ควรเกิดขึ้น ตราบใดที่ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-เขมรยังมีอยู่"
ตรงนี้ก็เท่ากับ "หวยออก" ก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในเดือน มิ.ย.จะเริ่มด้วยซ้ำ ทั้งนี้ จะโทษใครไม่ได้ นอกจากคนที่ "โง่แล้วอวดหยิ่ง" ที่ชื่อ...ฮุน เซน!
เราต้องเข้าใจว่า อนุสัญญามรดกโลกที่ยูเนสโกจัดทำขึ้นนี้ ไม่มีอำนาจเหนืออธิปไตยของประเทศสมาชิก และการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของประเทศสมาชิก และประเทศสมาชิกจะเป็นผู้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณา
แต่กรณีปราสาทพระวิหารมันมีปัญหาคาบเกี่ยวดินแดน ๒ ประเทศ ดังนั้น การจะรับขึ้นทะเบียน คณะกรรมการมรดกโลก ก็ต้องยึดตามมาตราต่างๆ ของอนุสัญญาด้วย อย่างเช่น มาตรา ๑๑ (๓) บอกว่า
"กรณีที่วัตถุโบราณนั้นตั้งอยู่ในอาณาเขตในอำนาจอธิปไตยหรือเขตอำนาจ ซึ่งมีการอ้างมากกว่า ๑ ประเทศแล้ว การขอขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก ต้องไม่เป็นที่เสียหายแก่รัฐอีกฝ่ายหนึ่ง"
นี่ก็ชัดว่า ถ้าขึ้นทะเบียนให้เขมรฝ่ายเดียว ไทยคือ "รัฐอีกฝ่ายหนึ่ง" เสียหายแน่นอน แล้วจะขึ้นทะเบียนให้เขมรฝ่ายเดียวได้อย่างไร? ซ้ำยูเนสโกตอนนี้เริ่มละอาย รู้ตัวว่าการเป็น "ร่างทรง" ให้บางประเทศช่วยเขมร "ถูกจับได้" แถมที่ทำไปผิดมหันต์ถึงขั้น "เป็นต้นเหตุ" ให้ไทยกับเขมรต้องรบกัน คงจะไม่ดันทุรังอีก
ถ้าขืนดัน ยูเนสโกก็จะทำผิดอนุสัญญาเองอีกข้อ ที่ว่า "ฝ่ายขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกต้องจัดทำเขตกันชน"!
แล้วเขมร นอกจากตัวปราสาทโด่เด่แล้ว มี "พื้นที่โดยรอบ" ตรงไหนซักกะแบะที่จะทำเป็น "พื้นที่อนุรักษ์" รอบตัวปราสาท ขืนทำก็เท่ากับว่า ต้องรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรของไทยทำเป็นเขตกันชน ซึ่งก็ไม่ได้อีก
ฮุน เซน ก็เริ่มรู้ว่าประเทศที่อุ้มอยู่ เริ่มวางด้วยระอา จึงตีลูกพาล พยายามส่งกำลังทหารเข้ารุกพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร และยืนกระต่ายขาเดียว "อ้างสิทธิ" ว่าเป็นของเขาด้วย คือพยายามทำให้เกิดคำว่า "พื้นที่ทับซ้อน" เพื่อยื้อสิทธิ
และตอนนี้บ้าไปใหญ่ สวมวิญญาณเสื้อแดงจะยื่นฟ้องศาลโลก ให้ตีความว่าที่ศาลโลกระบุเฉพาะ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นของเขมรนั้น ช่วยตีความใหม่ทีเถอะว่า
รวมถึงพื้นที่โดยรอบ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรด้วยหรือเปล่า?
ครับ...ผมก็เก็บเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เพื่อเป็นฐานความเข้าใจในการตามเรื่องวันนี้ มีผลออกมาอย่างไรจะได้ไม่งง และก็คง "สามวา-สองศอก" ประมาณนั้น คือมาตรฐานประเทศเขมร ก็คือมาตรฐานนายกฯ ฮุน เซน การตัดสินใจทุกอย่างขึ้นอยู่กับฮุน เซน นายฮอร์ นัมฮง เป็นแต่ร่างทรงเท่านั้น ถึงแม้มีการตกลงวันนี้
ก็ไม่รู้ว่า พรุ่งนี้นายกฯ ฮุน เซน จะเปลี่ยนไปอย่างใดอีก?
ดังนั้น การเดินแต้มของไทย ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ผมเห็นว่าครั้งนี้ทำการบ้านมาดี มีความตั้งใจดี บนฐานนโยบายใหม่ของรัฐบาลที่ไม่แอบแฝงเอาประเทศไปแลกผลประโยชน์ส่วนตนกับเขมรเหมือนผู้นำในอดีตบางคน จึงเชื่อได้ว่า การเคารพต่อเพื่อน ต่ออาเซียน ต่อยูเอ็น ด้วยวุฒิภาวะผู้ใหญ่
ไทยมีแต่ได้ ไม่มีเสีย!
แล้วไทยมีแผนอะไรเป็นทางออกเสนอต่อเขมร ต่ออาเซียน ต่อยูเอ็น กระทั่งต่อยูเนสโก ในเรื่องนี้บ้างล่ะครับ?
ด้วยเห็นแต่สันติภาพ เห็นแก่ความเป็นบ้านที่ดีอย่างเขมร และด้วยเอื้อเฟื้อต่อมนุษยชาติ บนหลักการ บนปรัชญาของมรดกโลก สิ่งที่จะเป็นมรดกโลก หมายถึงสมบัติกลางของมนุษยชาติที่จะได้ชื่นชมร่วมกัน กรณีปราสาทพระวิหารนี้ ไม่ใช่ของไทย ไม่ใช่ของเขมร แต่เป็นของมนุษยชาติทั้งมวล
ดังนั้น เพื่อความสมบูรณ์ของการเป็นสมบัติมนุษยชาติให้สมนาม "มรดกโลก" ไทยก็ควรนำส่วนที่เป็นองค์ประกอบของปราสาทพระวิหารอันอยู่ในเขตไทย เช่น สระตราว สถูปคู่ โดนตวล ภาพสลักนูนต่ำ กระทั่งพื้นที่รอบ ๔.๖ ตารางกิโลมตร เสนอให้นำไปผนวกรวมกับตัวปราสาทพระวิหารในเขตเขมร
แล้วไทย-เขมรมากำหนดเขตตรงนี้กันใหม่ ยกขึ้นเป็น "นครแห่งสันติภาพไทย-เขมร" นำขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน พร้อมทั้งจัดตั้งองค์กรบริหารพื้นที่สันติภาพ ๒ ประเทศร่วมกัน มีกฎหมายร่วมใช้เฉพาะนครสันติภาพนี้
ทุกปัญหาล้วนมีทางออก ก่อนอื่นเราต้องตั้งทัศนคติให้ตรง และต้องแยกระหว่างความเป็นประเทศเขมร ออกจากตัวนายกฯ ฮุน เซน ทุกวันนี้เรามองเขมรผ่านตัวฮุน เซน เราไม่ชอบพฤติกรรมฮุน เซน เลยเหมาว่าพี่น้องเขมรทุกคนเป็นเหมือนฮุน เซน
แต่ในความเป็นจริง ประชาชน ๒ ประเทศต้องคบค้าสมาคมกันตลอดกาล ส่วนผู้นำ เช่น ฮุน เซน หรืออภิสิทธิ์ แค่ชั่วครั้ง-ชั่วคราว ฉะนั้น การแก้ปัญหาต้องยึดอนาคต ยึดประชาชนเป็นตัวตั้ง แล้วจะแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
เราต้องไม่ลืมว่า เมื่ออดีต เขมร-ไทย-ลาว เป็นแผ่นดินผืนเดียวกัน เพราะต่างชาติคือ "ฝรั่งเศส-อังกฤษ" เข้ามาแบ่งแยก เอาเขมร-ลาว-ญวน ผนวกเป็นแผ่นดินอินโดจีน ส่วนไทยเรา ด้วยพระอัจฉริยภาพ และด้วยพระสยามเทวาธิราช จึงดำรงคงเอกลักษณ์แห่งเอกราชไทยอยู่ได้
และในอนาคต ผมประเมินแล้ว ไทย-เขมร-ลาว กระทั่งจีนตอนใต้ พม่า และญวน ซึ่งมีต้นรากมาทางเดียวกัน ความคิดไม่ต่างกัน ศาสนาเดียวกัน วัฒนธรรม-ประเพณีคล้ายกัน มีแต่ต้อง "รวมกันอยู่" เท่านั้นจึงจะใหญ่ และรวมกันได้สนิทแน่นกว่า แน่นอนกว่าตามแผนรวมอาเซียน
การกลับมารวมกันระหว่างไทย-เขมร หรือ ๖ ประเทศในกลุ่มอนุภาคลุ่มน้ำโขง ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในอดีตก็เป็นแผ่นดินผืนเดียวกันอยู่แล้ว แต่มีอันต้องแตกจากพรากพลัดกันไป และเมื่อถึงกาลหนึ่ง จะกลับมาผนึกรวมกันอีกครั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ใดใดในโลกล้วนอนิจจังครับ.
ขอบคุณ : Thaipost.net